หลายคนที่มีความคิดที่จะ “ลงทุน” เชื่อว่าคงมีคำถามค้างคาใจกันว่า เอ...เราจะ ออมหุ้น หรือออมกองทุนหุ้น ดีนะ? ช่วงนี้กระแส Investment Saving Plan กำลังมาแรงมาก เพราะหลายคนไปเห็นดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารที่น้อยจนไม่รู้จะน้อยยังไง คิดถึงว่าจะเก็บเงินไปเรื่อยๆ เพื่อให้มีใช้ในยามเกษียณก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ของก็แพงขึ้นทุกวันๆ ก็เลยมองว่าการหาที่อยู่ให้เงินออมใหม่นั้นจะทำได้อย่างไร

ถ้าติดตามในเพจของ @TarKawin ก็คงทราบกันดีอยู่แล้วว่า 2 เครื่องมือที่พี่ต้าร์มักจะแนะนำก็คือ การออมหุ้นและการออมในกองทุนรวมหุ้น ซึ่งปัจจุบันง่ายมาก เริ่มต้นแค่ 1,000 บาทก็เริ่มลงทุนกันได้แล้ว

เอาล่ะ บทความนี้ก็เกิดมาจากบทสนทนาระหว่างผมและมาดามฟินนี่ที่ถกประเด็นข้อดีข้อเสียของการออมหุ้น และ การออมในกองทุนรวมหุ้น กันอย่างสนุกสนานเฮฮา หลายคนก็คงสงสัยละนะ ว่าแต่มันต่างกันอย่างไรนะ? มาดูกันเลย

1. ออมหุ้นกับออมกองทุนหุ้นมันต่างกันยังไง!

การซื้อหุ้นคือการซื้อกิจการ เราจะเป็นเจ้าของบริษัท ซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียในกิจการไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน ผลกำไร เงินปันผล สามารถเข้าร่วมการประชุมผู้ถือหุ้น ลงคะแนนเสียงได้ ได้รับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนได้ แต่กองทุนรวมนั้นแตกต่างกันเนื่องจากเป็นการรวมเงินของนักลงทุนมากองรวมกันไว้และให้ผู้จัดการกองทุนเป็นผู้ตัดสินใจในการลงทุน ตามนโยบายที่กำหนดไว้ของกองทุนนั้นๆ เราจะเป็นสถานะเป็นผู้ถือหน่วยลงทุน ในส่วนความเสี่ยงนั้นทุกคนก็คงทราบกันอยู่แล้ว โดยพื้นฐานหุ้นมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนรวมอยู่แล้ว โอกาสที่หุ้นจะได้รับผลตอบแทนก็ย่อมสูงกว่า (แต่ก็มีหลายครั้งที่กองทุนรวมให้ผลตอบแทนดีกว่านะ)

2. มีงบน้อยแค่ 1,000 บาท ซื้ออะไร! ได้อะไร!

การออมหุ้น 1 ตัว กับ การออมกองทุนรวมหุ้น 1 กอง นั้นมีความแตกต่างกัน การซื้อหุ้นเราจะเป็นเจ้าของหุ้นตัวที่เราซื้อ ในขณะที่กองทุนรวมหุ้นผู้จัดการกองทุนจะนำเงินของกองทุนไปจัดพอร์ตการลงทุนในหุ้นที่หลากหลายและกระจายความเสี่ยง หากเรานำเงินออมมา 1,000 บาทมาออมหุ้น ก็อาจจะซื้อได้เพียงแค่ตัวเดียว ในขณะที่การลงในกองทุนรวมดัชนี SET50 ก็หมายถึงว่าเราสามารถซื้อหุ้นผ่านกองทุนได้ถึง 50 บริษัทด้วยเงินที่เท่ากัน

3. วิธีการเลือกลงทุนมันต่างกันไหม?

การเลือกออมหุ้นนั้นเราจะต้องเริ่มจากการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม ตลอดจนวิเคราะห์เชิงลึกของบริษัททั้งในด้านคุณภาพของบริษัท (ผู้บริหาร วิสัยทัศน์ สินค้าบริการ กลยุทธ์) และในด้านปริมาณ (ผลการดำเนินงานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ความสามารถในการทำกำไร) ในส่วนของกองทุนรวมนั้น ผู้จัดการกองทุนเขาจะวิเคราะห์หุ้นให้เราตามที่ผมบอกนี่ล่ะ เราเพียงดูว่าผู้จัดการกองทุนนั้นเขามีผลการดำเนินงานที่ดีไหม

4. ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องล่ะ?

ในการซื้อขายหุ้นแต่ละครั้งเราจะต้องจ่ายค่า Commission ให้กับโบรกเกอร์ที่เราใช้บริการอยู่ ซึ่งแต่ละที่จะมีการเก็บที่แตกต่างกัน บางที่มีขั้นต่ำต่อว่าว่าถ้าซื้อจะต้องเก็บเงินเท่าไหร่ ซื้อผ่านช่องทางไหน ในกรณีที่เราซื้อกองทุนรวมนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละกองทุนจะเก็บค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง เช่น ค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย ค่าธรรมเนียมในการจัดการกองทุนรวม (กองทุนผู้จัดการกองทุนเขามีค่าจัดการ ส่วนซื้อหุ้นเราจัดการตัวเราเอง ไม่ต้องจ่ายให้ใคร)

5.ว่าแต่เรื่องภาษีมีสิทธิประโยชน์อะไรให้ไหม?

โดยปกติกองทุนรวมหุ้นทั่วไป ลดหย่อนภาษีไม่ได้ มีแค่เฉพาะกองทุนรวมหุ้นประเภท LTF RMF เราสามารถใช้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีได้ตามข้อกำหนดของสรรพากรนะครับ ตรงนี้ต้องเช็ค Update กันเรื่อยๆนะเผื่อมีการเปลี่ยนแปลงนะครับ ในส่วนของหุ้นนั้นไม่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ แต่อย่างไรก็ตามในการได้เงินปันผลจากหุ้นนั้น รัฐบาลจะเก็บภาษีบริษัทจดทะเบียนก่อนแล้วมาเก็บเราอีกทีหนึ่ง ซึ่งทำให้เราจ่ายภาษีเกินฐานที่เราได้รับ ก็ลองเอารายได้จากเงินปันผลมาคำนวณเครดิตภาษีเงินปันผลได้นะครับ เผื่อจะได้เงินคืน โดยเฉพาะคนที่ฐานภาษีน้อยๆ รายละเอียดเพิ่มเติมลองหาไปหาอ่านเรื่อง เครดิตภาษีเงินปันผล ดูนะครับ

6. จะเริ่มออมแล้วต้องทำยังไง!

การออมหุ้นและกองทุนรวมหุ้นด้วยลักษณะวิธีการก็ไม่ได้ต่างกันนะครับ เราจะต้องวางแผนด้วยการนำเงินออมในแต่ละเดือนมากำหนดไว้ว่าจะลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมหุ้นตัวไหน จำนวนเงินเท่าไหร่ ซื้อในวันที่เท่าไหร่ของเดือน และก็ทำการซื้ออัตโนมัติทุกๆเดือนครับ ปัจจุบันนี้ผมเชื่อว่าทุกกองทุนรวมมีบริการซื้ออย่างสม่ำเสมอให้ทุกท่านอยู่แล้ว แต่ในส่วนของการออมหุ้นนั้นปัจจุบันมีโบรกเกอร์ให้บริการอยู่ 5 ที่นะครับ รายละเอียดการให้บริการของแต่ละที่ก็แตกต่างกันไป ต้องลองเช็คดูนะครับ

ถ้ามีเวลามากๆและชอบการวิเคราะห์ธุรกิจอยู่แล้วก็เลือกหุ้นมาออมดู แต่ถ้าไม่มีเวลามาก ต้องการผู้เชี่ยวชาญจัดการลงทุนให้ การออมในกองทุนรวมหุ้นก็เหมาะสมดีนะ

จะเห็นได้ว่าการออมหุ้นและการออมกองทุนรวมนั้น ในปรเภทของทรัพย์สิน การวิเคราะห์ ค่าธรรมเนียม ตลอดจนสิทธิประโยชน์ทางภาษีนั้น มีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร แต่ในวิธีการซื้อด้วยการออมแบบประจำนั้นไม่ได้แตกต่างกันเลย ตรงนี้เราจะต้องถามตัวเองนะครับว่าเราชอบลงทุนในรูปแบบไหนมากกว่ากัน สำหรับตัวผมเองนั้นอยากจะเสนอว่าถ้ามีเวลาก็ลองศึกษาทั้ง 2 แบบดูเลยก็ดีนะ แต่ถ้ามีเวลามากๆ และชอบการวิเคราะห์ธุรกิจอยู่แล้วก็เลือกหุ้นมาออมดู แต่ถ้าไม่มีเวลามาก ต้องการผู้เชี่ยวชาญจัดการลงทุนให้ การออมในกองทุนรวมหุ้นก็เหมาะสมดีนะครับ