วันนี้ 24 พฤษภาคม 2559 ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสมางานสัมมนาครั้งประวัติศาสตร์ที่ร่วมมือกันระหว่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย Jitta และ Money Channel ในครั้งนี้ถือว่าเป็นอะไรที่พิเศษมากเนื่องจากแขกที่มาพูดในงานนี้เป็นคนมีชื่อเสียงระดับโลก เช่น

  • Mary Buffett เจ้าของผลงานหนังสือ Buffettology ที่โด่งดังไปทั่วโลก
  • Sam Maule จากวงการ Fintech และเป็น Influencer ระดับโลก 
  • Sean Seah ผู้คร่ำหวอดในวงการ VI ในระดับเอเชีย
  • ดร.นิเวศน์ อาจารย์ VI ต้นตำหรับของไทย
  • พี่เผ่า ตราวุทธิ์ ผู้ก่อตั้ง Jitta Fintech การลงทุนที่ไปไกลทั่วโลก
  • และท่านอื่นๆอีกนะครับ

งานนี้ยิ่งใหญ่มากเลยนะครับ มีนักลงทุนที่โด่งดังและผู้มีชื่อเสียงระดับประเทศมาร่วมงานเต็มไปหมด ซึ่งในงานนี้แบ่งเป็น 2 ช่วง เช้าบ่าย ซึ่งเนื้อหาแตกต่างกันไปบ้างโดยช่วงเช้าจะเน้นเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและในช่วงบ่ายก็มาคุยเรื่องการลงทุนแบบ Value Investor ความผสมผสานกันนี้มันทำให้เราเข้าไปสู่ในโจทย์การลงทุนในอนาคตที่ว่า "จะพัฒนาเทคโนโลยีและเครื่องมืออย่างไรมาใช้ในการลงทุนให้เกิดความมั่งคั่งอย่างมีประสิทธิภาพ"

สำหรับนักพัฒนาทางเทคโนโลยีนั้นก็บอกอยู่แล้วว่า "We are all technology Companies" เราทุกคนเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีกันอยู่แล้ว บางคนอาจจะยังไม่เห็นภาพ แต่ถ้าเราย้อนอดีตไปก็คงจะทราบดีกว่า มนุษย์เราจะมีการพัฒนาประสิทธิ์ภาพในการผลิตอยู่เสมอ ไม่ว่าจะใช้สัตว์เข้ามาช่วยในการทำเกษตร จนกระทั่งมาถึงยุคปฏิวัติอุตสากรรม จนมาถึงยุคคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และปัจจุบันเราก็กำลังมาถึงยุคที่ใช้ AI - Robo Adviser แล้ว และเราก็จะถูกผูกกับระบบ Online ในการช่วยเราตัดสินใจต่างๆได้และมันจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆในการมีส่วนช่วยให้พวกเราไปสู่ยุค Wealth Technology ในการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน

การพัฒนาของ Fintech มีอะไรบ้าง?

การสร้างเทคโนโลยีในเรื่องการลงทุนนั้นถ้าเราไปดูในอดีตกาลมันก็มีมานานละนะ ตั้งแต่สมัยก่อนโน้น เราจะเรียกว่า Fintech ในสมัยโบราณก็ได้ เมื่อทางรอยเตอร์ใช้นกพิราบสื่อสารมาเพิ่มความรวดเร็วของข้อมูลข่าวในปี 1848 และพัฒนาต่อมาเป็น Telegraph และในช่วงศตวรรตที่ 20 ก็รวบรวมข่าวสารทางการเงินการลงทุนก็พัฒนาเพิ่มขึ้นด้วยการใช้ระบบ Computer โดย Bloomberg และกลายเป็น Internet จนกระทั่งในปัจจุบันนั้นเราสามารถดูข่าวสารได้อย่างรวดเร็วจากโทรศัพท์มือถือได้ นับได้ว่า Real Time กันเลยทีเดียว เทียบกับสมัยก่อนกว่าจะได้ข่าวเพื่อตัวสินใจลงทุน ใช้เวลากันคนละเรื่องเลยดูสิ

อันนี้ก็เลยทำให้ Jitta เขามองเห็นว่าถ้าเกิดเขาใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุนการลงทุนก็คงจะเป็นเรื่องดี ซึ่งเขาก็มององค์ประกอบในเรื่องที่สำคัญอยู่ 3 เรื่องคือ

  • ความรู้ในการลงทุน : วิถีการลงทุนแบบ VI เป็นอย่างไร?
  • การเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญสำหรับการลงทุน : หุ้นควรซื้อไหม และเวลาไหนที่ควรซื้อ?
  • การลงทุนอย่างไรพรมแดน : จะลงทุนได้ที่ไหนบ้าง ไทย อเมริกา สิงคโปร์ เวียดนาม?

ผมเห็นด้วยกับองค์ประกอบทั้ง 3 นะครับว่าหากเราสามารถมีครบได้ เราก็จะสามารถสร้าง Wealth ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด และด้วยปัจจุบันนี้คนเราเองก็มีความรู้ทางด้านการลงทุนมากขึ้นจากการพัฒนาองค์ความรู้ที่ผ่านมาจากปรมาจารณ์ทั้งหลาย ทำให้คนทราบกันดีว่า หากเราเลือกทรัพย์สินในการลงทุนอย่างถูกต้อง การถือยาวๆ มันก็ทำให้เราเกิดความมั่งคั่งได้ สิ่งที่ทำให้เราลงทุนง่ายที่สุดก็จะหนีไม่พ้น Index Fund หรือ Passive Fund (ถ้าเราเชื่อว่า Index คือผลตอบแทนที่ดีที่สุดในระยะยาว) และมันจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าเราสร้างระบบ Data Analysis มาเพิ่มเติม รวมถึงการใช้ Sharing Economy เพื่อแบ่งปันความเห็นและข้อมูลจากบุคคลหลายๆกลุ่ม ทุกอย่างหากทำเป็น Automation ด้วยการมีเครื่องมี Support อะไรมันก็จะง่ายขึ้นถูกไหมครับ

อันนี้ก็พอจะเห็นภาพในฝั่งนักพัฒนา Technology ทางการลงทุนกันแล้วนะครับ

แล้วนักลงทุนในฐานะผู้ที่เอาเทคโนโลยีไปใช้ล่ะ?

อย่างไรก็ตามถ้าหากเราจะลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพก็คงจะต้องมีความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนด้วยนะครับ ในงานสัมมนานี้ก็มีอาจารย์มาเล่าให้ฟังหลากหลายวิธี รวมถึงเสนอแนวทางจากนักลงทุนในระดับโลกด้วยว่าเขาพัฒนาความคิดการลงทุนมาอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นทาง ดร.นิเวศน์ หรือทาง Mary Buffett เท่าที่ผมฟังๆดูจะเล่าเรื่องวิถีการลงทุนแบบง่ายๆ ไม่ยากไม่ซับซ้อนให้ฟัง

คำพูดหลายๆอย่างของ Warren Buffett ก็ถูกนำมาเล่าในงานนี้เหมือนเดิมนะครับ จริงๆวิธีการของเขามันเป็นอมตะมาก เราเลือกหุ้นด้วยการหาบริษัทที่ผลประกอบการเยี่ยมยอด Durable Competitive Advantage ในขณะที่รอเวลาในการซื้อหุ้นในราคาที่สวยงาม อดทนรอกับมันจนกระทั่งเกิดความมั่งคั่งได้ นอกจากนั้นแล้วในงานก็ยังพูดถึงหลักคิดของนักลงทุนระดับโลกอีกหลายๆคน ซึ่งผมเชื่อว่าประโยคเด็ดๆเราคงได้อ่านกันเยอะแล้วในหนังสือเล่มต่างๆ และความลับทางการลงทุนนั้นก็ถูกพัฒนาต่อยอดกันมาให้มันสู่ในระดับ Practice ทั้งในเชิงของคุณภาพและปริมาณ

แหม... ถ้าจะให้กล่าวลงลึกไปเลยกับสูตรที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ก็ยกตัวอย่างได้เช่น การมองหาหุ้นคุณค่าในราคาที่ยังไม่แพง และการใช้ Magic Formula กับหุ้นที่เราคัดเลือกมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการดู Ratio ต่างๆ อย่าง PE PBV ROE ซึ่งพอ Back Test ออกมาในรอบ 10 ปีแล้ว ผมเองก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลยว่าเงินจำนวน 1 ล้านบาท มันกลายไปถึง 100 - 2,000 ล้านบาทได้เลยด้วยนะ ทรัพย์สินอื่นก็ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากขนาดนี้ แต่ในปัจจุบันผลตอบแทนดังกล่าวจะทำได้ในเมืองไทยอีกหรือไม่ตรงนี้ทางนักลงทุนระดับเซียนก็ได้ให้ความเห็นกันไว้นะครับว่าอาจจะต้องเลือกหุ้นดีๆ ก็มีอยู่หลายตัวในเมืองไทยที่ยังให้ผลตอบแทนสูงอยู่ รวมถึงมองหาตลาดในแหล่งใหม่ๆ เช่น ในเวียดนาม

Jitta มีข้อมูลที่นักลงทุนต้องการหมดเลยล่ะครับ มีทั้งให้ความรู้ และกำลังขยายข้อมูลไปยังตลาดประเทศอื่นๆ เช่นข้อมูลหุ้นในตลาดเวียดนามก็มีแล้วนะเพราะนักลงทุนไทยชอบเยอะ