ผลการจัดลำดับของอภิมหาเศรษฐีในไทยโดยนิตยสารฟรอบส์ (Forbes) ที่เพิ่งออกมาไม่นานมานี้เอง ช่างจุดไฟในตามนุษย์เงินเดือนอย่างเราให้ร้อนระอุจริงๆเลยครับ หุหุ หลายๆคนก็คงมีความฝันที่จะก้าวไปถึงจุดนั้นบ้าง จริงไหมครับ?

มหาเศรษฐีเหล่านั้นถ้าเราไปตรวจสอบทรัพย์สินแล้วก็มีการวัดจากมูลค่าหุ้นที่เขาถือ แต่มากไปว่านั้น จริงๆแล้ว “ความรวย” ของเศรษฐีหลายคนเกิดจากการ "สร้างธุรกิจขึ้นมา" และการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ทำให้พวกเขา "เพิ่มความมั่งคั่ง" จากการขยายกิจการหลังการระดมทุน

นี่คือ “ความลับ” ที่เหล่าเศรษฐีไม่เคยบอกคุณ แต่ต้าร์ กวินจะมีเล่าให้ฟังถึง “3 สเต็ปส์ของการก้าวสู่ความรวย (ฉบับที่คนเป็นเศรษฐีไม่เคยบอกคุณ)” ให้ฟังกันครับ

ขั้นที่ 1 ก่อนจะเป็นเศรษฐีต้องมีธุรกิจขนาดใหญ่

คนกลุ่มนี้จะเริ่มต้นคิดค้นธุรกิจใหม่ๆ ออกมายังตลาด จะเริ่มจากเล็กๆ หรือใหญ่ๆ ก็แล้วแต่ทุนและความสามารถ ซึ่งทุนเองก็มีหลายแบบ เช่น "เงิน เวลา ความรู้ หรือคอนเน็คชั่นที่มาจากมิตรสหาย"

ยกตัวอย่างง่ายๆ

นายเอ เริ่มต้นธุรกิจจากร้านเล็กๆ จากนั้นเมื่อธุรกิจเริ่มดี ก็ค่อยๆ ปั้นขึ้น จนธุรกิจค่อยๆ ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ จากนั้น เขาอาจจะเริ่มต้นที่ความคิดและชวนเพื่อนมาใส่เงินทุนที่ 1 ล้านบาท เมื่อมีเงินทุนก็เหมือนมีเชื้อไฟที่ช่วยให้ธุรกิจไปไกลได้มากขึ้น และเมื่อประกอบธุรกิจใหญ่โตเขาอาจจะมีทรัพย์สินในบริษัทเติบโต 100 เท่า เป็น 100 ล้าน แน่นอนว่าถ้าเขาจะต้องระดมทุนขนาดใหญ่ก็ต้องไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์

เริ่มจาก 1 ล้าน สร้างมาเป็น 100 ล้าน สมมติเขาเปลี่ยนเป็น 100 ล้านหุ้น ก็แบ่งขายให้นักลงทุนในตลาดไปสัก 20% เขาก็ถือ 80 ล้านหุ้น ถ้าเข้าตลาดไปด้วยความคาดหวังสัก  x10 (ตัวเลขสมมติ) เขาก็จะมีมูลค่าหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นทันทีเป็น 800 ล้าน นี่แหละคือหนทางการ "สร้างธุรกิจให้รวย"!!

ขั้นที่ 2 อยากให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด ต้อง"สร้างธุรกิจมาระดมทุน"

ขั้นที่ 2 นี้คือนักลงทุนที่สนใจหุ้นที่เขาปล่อยออกมา 20% นั่นล่ะครับ นี่ไงทำไมเราถึงเป็นนักลงทุนรายย่อยและตั้งคำถามว่า ทำไมเจ้าของบริษัทถึงมีหุ้นเป็นล้านๆหุ้นได้ เอาเงินที่ไหนมาซื้อ ก็เพราะเขา "สร้างธุรกิจมาระดมทุน" ส่วนเรา "เอาเงินไประดมทุนเพื่อร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจ" มันต่างกันนะครับ

เราซื้อหุ้นกันที่ความคาดหวังและสิ่งที่เราทำได้คือการทยอยสะสมหุ้นดีๆไว้เพื่อให้ชีวิตเราเกิดความมั่งคั่งขึ้น เมื่อธุรกิจนั้นเติบโต ถ้าเราในฐานะของนักลงทุนที่อยู่ในลำดับ 2 ของระบบ รวยขึ้น 1 เด้งเป็นเงิน 10 ล้านบาท ลำดับที่ 1 ก็ได้กันเป็นกี่ 100 กี่ 1,000 ล้านละเนี่ย

อย่างไรก็ตามผมยังสนับสนุนให้เพื่อนๆม าอยู่ในลำดับนี้ก่อนถ้ายังไม่มีไอเดียในการทำธุรกิจนะครับ อย่างน้อยก็เป็นการเพิ่มความมั่งคั่งสำหรับมนุษย์เงินเดือนได้ ออมหุ้นจะสร้างใน step นี้

ขั้นที่ 3 เลือกที่จะนำเงินไป “ลงทุน” มากกว่า “ฝากเงิน” ไว้เฉยๆ

คือคนที่ได้รับเงินมาแล้วฝากเงินไว้เฉยๆ หรือให้กู้เงิน/ซื้อตราสารหนี้ (หมายถึงพวกเราๆ นะครับ ไม่ใช่ธนาคาร) ถ้าเราอยู่ในลำดับนี้ก็คือเรามีเงินให้ยืมนะครับ ยืมแล้วเขาจะคืนหรือไม่อีกเรื่องนึง ก็คือชีวิตเราจะมีเพียงเงินสดและรายได้จากดอกเบี้ย ซึ่งการให้ยืมจะไม่ได้ผลตอบแทนเท่าการลงทุน มีความปลอดภัยในเงินทอง แต่ไม่ปลอดภัยในระยะยาวเมื่อมูลค่ามันลดลงจากอัตราเงินเฟ้อ หากเราจะอยู่รอดได้จากการเป็นคนในกลุ่มลำดับ 3 ก็ต้องมีเงินเยอะๆ นะครับ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าการเก็บเงินเฉยๆจะเพียงพอหรือเปล่า เพราะหลายๆ ครั้งเราอาจจะต้องกลายเป็นคนที่มีสภาพทางการเงินแย่กว่าขั้นที่ 3 นั่นคือ “เป็นหนี้” นั่นเอง

สำหรับผมแล้วในฐานะของนักออมหุ้น เลยพยายามนำเสนอเพื่อนๆ ว่า เดิมทีเรายังไม่มีความรู้อะไรมาก เราจะเป็นเพียงกลุ่มในลำดับ 3 ซึ่งพอเราผ่านจุดนี้ไปได้ก็จะกลายเป็นลำดับ 2 ของทุนนิยม ซึ่งผมว่าย่างน้อยก็ทำให้คนหลายคนสบายขึ้นละครับ แต่ถ้าเราจะไปถึงลำดับ 1 เราจะต้องคิดต่อยอดเข้าไปอีก ตรงนี้ก็อยู่ที่เราละว่าเราพอใจในชีวิตความร่ำรวยในระดับไหน

นี่คือ 3 สเต็ปส์ของการก้าวสู่ความรวยที่เราสามารถเรียนรู้และหาแนวทางการลงทุนทางธุรกิจของเราได้ครับ สำหรับผมแล้ว ในฐานะนักออมหุ้น อยากเสนอให้ทุกคนที่เพิ่งกำลังออมหรือลงทุนเริ่มต้นง่ายๆ จากสเต็ปส์ที่ 3 ก่อนนะครับ เมื่อเราผ่านสเต็ปส์ที่ 3 ได้แล้ว ต่อไปจะก้าวไปสู่สเต็ปส์ที่ 2 หรือ 1 ก็ไม่ยากแล้วล่ะครับ ซึ่งทั้ง 3 สเต็ปส์ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราพอใจที่จะอยู่ที่ระดับไหน :)