คนไทยคุ้นเคยกับทองคำมานานแสนนานนนนน

 

ตั้งแต่…

  • ซื้อไว้ใส่เองเพื่อความสวยงาม เช่น แหวนทอง สร้อยทอง กำไรทอง
  • ใช้ในโอกาสพิเศษ เช่น ให้ของขวัญ สินสอดในงานแต่งงาน
  • สะสมทองคำเพื่อการลงทุน เช่น เหรียญทอง ทองคำแท่ง (ทองคำไม่มีเงินปันผล)
  • ช่วยเหลือเราในช่วงต้องการเงินเร่งด่วน
    • เช่น ช่วงเปิดเทอมผู้ปกครองช๊อตเงินกะทันหันมักจะนำทองคำไปจำนำ เพื่อนำเงินมาจ่ายค่าเทอมและค่าอุปกรณ์การเรียนของลูกหลาน
  • สะสมทองคำกระจายความเสี่ยงและรักษามูลค่าเงินของเรา (มีคลิปทองคำท้ายบทความ)
    • เช่น ตอนวิกฤตต้มยำกุ้งปี 40 เกิดจากการเก็งกำไรมากเกินไปจนทำให้ฟองสบู่แตก หุ้นดิ่งเหว ราคาอสังหาริมทรัพย์หล่นฮวบ แต่ราคาทองไม่ได้ร่วงตามไปด้วย แล้วยังมีราคาขยับขึ้นเรื่อยๆ (ราคาทองปี 40 บาทละ 4 พันกว่าๆ แล้วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกปี)

 

การขึ้นลงของราคาทองคำในประเทศไทยนั้น มาจากราคาทองคำในตลาดโลกและอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งทองคำก็เหมือนเครื่องมือการลงทุนทั่วๆที่หนีไม่พ้นการถูกเก็งกำไร โดยเฉพาะในช่วงปี 54 ที่ราคาพุงไปแตะขอบฟ้าที่ 27,540 บาท หลังจากนั้นก็กลับมานิ่งๆที่ราคาประมาณ 2 หมื่นบาท

จากช่วงที่ผ่านมาทำให้เรารู้ว่าทองคำไม่ใช่การลงทุนที่ได้กำไรเพียงอย่างเดียว มีการขาดทุนได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น เงินที่เราซื้อทองสะสมไว้ควรเป็นเงินที่นิ่งพอสมควร ไม่ใช่เงินเร่งด่วนที่ต้องรีบใช้เร็วๆนี้ ที่สำคัญควรแบ่งเงินบางส่วนมาซื้อเก็บไว้ เช่น ทรัพย์สมบัติของเรา 100% ควรมีทองคำเก็บไว้ 5-10%  

 

เริ่มสะสมทองคำง่ายม๊าก!!

 

สำหรับคนเงินน้อย พึ่งเริ่มออมเงินก็รู้สึกว่าหนทางอีกยาวไกลกว่าจะได้ทองคำสักบาทมาครอบครอง เพราะคิดว่าจะต้องสะสมเงินให้ได้มากกว่านี้ก่อน แล้วค่อยเอาไปซื้อทองคำเก็บไว้ #เงินน้อยซื้อทองได้นะจ๊ะ

ส่วนคนที่เก็บเงินครบรอซื้อ แต่ก็ยังลังเลเพราะกลัว ก่อนหน้านี้เห็นราคาทองขึ้น ก็ไม่กล้าซื้อ กลัวซื้อของแพง รอให้ราคาลงมาแล้วค่อยซื้อ แต่พอราคาลงมาตามที่คิดไว้ ก็ไม่กล้าซื้อเพราะคิดว่าเดี๋ยวราคามันก็ลดลงมา สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อสักที #DCAทองคำซิจ๊ะ

ในอดีตเราจะรู้จักแต่ทองรูปพรรณกับทองคำแท่งที่ต้องเดินไปซื้อที่ร้านทอง แต่ว่าในปัจจุบันมันเปลี่ยนไปแล้ว ทองตู้แดงยังอยู่ แต่มีวิธีซื้อทองให้เลือกมากขึ้น เช่น

  • โปรแกรมออมทอง (เขียนในบทความนี้)
  • Gold ETF คือ กองทุนรวมทองคำที่ซื้อขายได้เหมือนหุ้น รู้ราคาซื้อขายทันที แต่มีสภาพคล่องต่ำ ตอนนี้เหลืออยู่ 2 ตัว คือ  GLD , TGOLDETF ถ้าใครสนใจซื้อก็ต้องเปิดบัญชีหุ้นถึงจะซื้อขายได้
  • กองทุนรวมทองคำ ถ้าต้องการซื้อขายก็จะต้องไปเปิดบัญชีกองทุนรวม เป็นกองทุนเปิดที่ซื้อขายได้ตลอดเวลา แต่กว่าจะรู้ว่าได้ราคาเท่าไหร่ก็จะต้องรอตลาดปิดช่วงสี่โมงกว่าๆ ปัจจุบันมี 32 กองทุน มีทั้งกองทุนแบบทั่วไปและ RMF ที่ลดหย่อนภาษีได้
  • Gold Futures ความเสี่ยงสูงปรี๊ด ผู้เล่นควรผ่านการบาดเจ็บในตลาดหุ้นมาอย่างน้อย 1 ปี ต้องมีวินัยในการลงทุนขั้นสูงม๊าก เพราะถ้าพลาดแค่คลิกเดียวก็หมดตัวได้เลยนะจ๊ะ บรื๊ยยยยย

 

ออมทอง คืออะไร? 

 

เป็นการทยอยสะสมเงินเพื่อซื้อทองคำแท่งที่มีบริสุทธิ์ 96.5% ซึ่งวิธีนี้เหมาะกับคนเงินน้อยที่ต้องการสะสมทองคำจริงๆ หรือคนที่ไม่รู้จะซื้อทองคำช่วงไหน เพราะเห็นราคาขึ้นลงจนหวั่นไหวไม่กล้าซื้อ

การออมทองจะเป็นการทยอยซื้อแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging :DCA) เป็นการแบ่งซื้อเป็นงวดๆตามจำนวนเงินและเวลาที่กำหนดไว้ เช่น ทุกต้นเดือนซื้อทองคำเดือนละ 1,000 บาท ซื้อโดยไม่สนใจว่าราคาตอนนั้นจะเป็นเท่าไหร่ เน้นไปที่จำนวนเงินลงทุนเป็นหลัก

ปัจจุบันมีบริษัทที่ให้บริการโปรแกรมออมทอง 2 แบบ คือ ซื้อสะสมรายเดือนและซื้อเป็นรายวัน โดยทุกสิ้นเดือนบริษัททองจะมาตัดเงินในบัญชีธนาคารของเรา ไปซื้อทองคำและเก็บรักษาไว้ให้เรา เมื่อสะสมได้จำนวนมากพอแล้ว เราสามารถทำเป็นเหรียญทองหรือทำเป็นทองแท่งเก็บได้ สิ่งสำคัญ คือ 1,000 บาทก็เริ่มลงทุนซื้อทองคำได้

 

วิธีการซื้อทองของแต่ละบริษัท

 

1,000 บาท เริ่มต้นออมทอง

 

ฮั่งเซ่งเฮง

  • การซื้อ : เดือนละ 1 ครั้งทุกต้นเดือน ตัดผ่านบัญชีอัตโนมัติ 6 ธนาคาร
  • การขาย : ซื้อเกิน 3 เดือนแล้วสามารถขายออกได้

ออสสิริส

  • การซื้อ : แบ่งซื้อทุกวัน ตัดผ่านบัญชีอัตโนมัติ 3 ธนาคาร
  • การขาย : เริ่มขายได้ตั้งแต่สะสมทองคำได้ 0.25 กรัมขึ้นไป

 

1,000 บาท เริ่มต้นออมทอง

ตัวอย่างบริษัทที่ให้บริการโปรแกรมออมทอง

 

1,000 บาท เริ่มต้นออมทอง

การรับทองของแต่ละบริษัทก็จะมีค่าใช้จ่ายแตกต่างกัน ควรสอบถามกับเจ้าหน้าที่

 

ทำไมเราควรทยอยซื้อสะสม?

 

ถ้าอยากเข้าใจแนวคิดของการทยอยซื้อรายเดือนอย่างง่ายดูได้ที่ตัวอย่างนี้นะจ๊ะ แต่ถ้าใครชอบการคำนวณกดเครื่องคิดเลขรัวๆและอยากรู้แบบลึกซึ้งว่าเงิน 1,000 บาท ซื้อทองสะสมเดือนละ 1 ครั้งจะซื้อทองคำได้กี่กรัม ขออนุญาตเขียนอธิบายไว้ที่ท้ายบทความนะจ๊ะ

 

แนวคิดการทยอยซื้ออย่างง่าย

 

1,000 บาท เริ่มต้นออมทอง

 

สมมติว่าเราต้องการลงทุน 3,000 บาท ซื้อของที่มีราคาแตกต่างกันในแต่ละเดือน เรามาดูกันว่า 4 วิธีนี้จะทำให้เรามีต้นทุนเท่าไหร่  

  • วิธีที่ 1 ซื้อทุกเดือน (DCA) : เราจะแบ่งเงินซื้อเดือนละ 1,000 บาท ครบ 3 เดือน เราซื้อของได้ทั้งหมด 366 ชิ้น ต้นทุน 8.19 บาท
  • วิธีที่ 2 เราซื้อครั้งเดียวในเดือนที่ 1: จากเงิน 3,000 บาท เราจะได้ของทั้งหมด 300 ชิ้น มีต้นทุน 10 บาท
  • วิธีที่ 3 เราซื้อครั้งเดียวในเดือนที่ 2 : จากเงิน 3,000 บาท เราจะได้ของทั้งหมด 200 ชิ้น มีต้นทุน 15 บาท
  • วิธีที่ 4 เราซื้อครั้งเดียวในเดือนที่ 3 : จากเงิน 3,000 บาท เราจะได้ของทั้งหมด 600 ชิ้น มีต้นทุน 5 บาท

 

เชื่อว่าหลายๆคนอยากรอซื้อได้ราคาต่ำๆที่ 5 บาทเพราะจะได้ซื้อได้ถึง 600 ชิ้น แต่ในเหตุการณ์จริงมันมีความไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้อนาคตว่าราคาจะเป็นเท่าไหร่ ถ้าราคาลงเหลือ 5 บาท จริงๆแล้วก็อาจจะกลัวไม่กล้าซื้อ รอไปก่อนเพราะคิดว่าเดี๋ยวราคาก็จะลดลงไปอีก

การที่ราคาของขึ้นๆลงๆแบบนี้ เราเรียกว่า "ความผันผวน" ทำให้เราไม่กล้าซื้อ แล้ววิธีที่จะลดความผันผวนตรงนี้ได้ คือ การทยอยซื้อทุกเดือนที่เป็นวิธีการซื้อวิธีที่ 1 เราจะได้ราคาเฉลี่ย

 

ทำคลิปเพิ่มเติมอธิบายแนวคิดออมทองไว้แล้วนะจ๊ะ ฟังได้ในคลิปนี้เลยจ้า

https://www.youtube.com/watch?v=brv_M-yZ9Gc

 

สรุปได้ว่า...

 

“ถ้าราคาทองเพิ่มขึ้น เราจะซื้อทองได้จำนวนน้อยลง 

ถ้าราคาทองลดลง เราจะซื้อทองได้จำนวนมากขึ้น”

 

อยากออมทองจะต้องทำอย่างไร?

 

1,000 บาท เริ่มต้นออมทอง

 

เตรียมสิ่งเหล่านี้

  1. เอกสารการเปิดบัญชีออมทอง (ขอได้ที่สาขาหรือโหลดหน้าเว็บไซด์ของร้านทอง)
  2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
  3. สำเนาหน้าแรกสมุดบัญชีธนาคาร

 

วิธีการออมทองจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

 

1. การออมทองครั้งแรก : จ่ายเงินสด

  • สมัครที่สาขาของบริษัท หรือสมัครภายในงานการมหกรรมการเงินต่างๆ เรากรอกข้อมูลเอกสารการเปิดบัญชี แนบสำเนาบัตรประชาชนและหน้าแรกสมุดบัญชี พร้อมกับจ่ายเงินที่จะใช้ออมทอง แล้วเจ้าหน้าที่จะออกใบเสร็จรับเงินให้เราเก็บไว้เป็นหลักฐาน หลังจากนั้นจะได้รับเอกสารยืนยันเลขที่บัญชีออมทองของเรา จากบริษัทส่งให้ทางไปรษณีย์
  • สมัครทางไปรษณีย์ เราจะต้องส่ง "เอกสารที่ใช้เปิดบัญชี" (ข้อ 1-3) ไปยังบริษัทที่เราจะออมทอง ผ่านไป 2-3 วัน เราจะได้รับเลขที่บัญชีของตนเองแล้ว เจ้าหน้าที่จะบอกเลขที่บัญชีธนาคารของบริษัท เพื่อให้เราโอนเงินเข้าไปซื้อทอง
    • เมื่อเราโอนเงินเสร็จแล้วก็เก็บหลักฐานการโอนไว้ พร้อมกับโทรบอกเจ้าหน้าที่ให้รับรู้ว่าเราโอนเงินเรียบร้อยแล้ว (ทุกขั้นตอนจะถูกบันทึกเทปไว้เป็นหลักฐาน) และอีกไม่กี่วันใบเสร็จรับเงินจะส่งมาที่บ้านเราทางไปรษณีย์เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน

ส่วนรายละเอียดยิบย่อยของแต่ละบริษัทแตกต่างกัน เราก็ต้องสอบถามเจ้าหน้าที่เองนะจ๊ะ

 

2. การออมทองครั้งต่อไป : ตัดอัตโนมัติผ่านบัญชีธนาคาร

เดือนที่สอง บริษัททองก็จะตัดเงินอัตโนมัติจากบัญชีธนาคารของเราไปซื้อทองเก็บไว้ทุกเดือน มีค่าธรรมเนียมการตัดอัตโนมัติครั้งละ 8-10 บาท (แต่ละธนาคารคิดค่าธรรมเนียมไม่เท่ากัน) แล้วบริษัทจะส่งเอกสารยืนยันการซื้อขายมาให้เราทางอีเมล์หรือไปรษณีย์

ถ้าเดือนไหนเราต้องการเพิ่มเงินหรือลดจำนวนเงินซื้อทอง เช่น จากเดิมซื้อเดือนละ 4,000 บาท จะเพิ่มเป็นเดือนละ 5,000 บาท หรือซื้อลดลงเหลือเดือนละ 3,000 บาท เราก็โทรบอกเจ้าหน้าที่จัดการให้ได้ แต่จะต้องโทรบอกก่อนวันที่ระบบจะตัดเงินไปซื้อทองนะจ๊ะ

 

ตัวอย่างใบเสร็จรับเงินออมทอง

 

1,000 บาท เริ่มต้นออมทอง

1,000 บาท เริ่มต้นออมทอง

 

บางครั้งมิจฉาชีพจะใช้การลงทุนทองคำมาเป็นตัวล่อให้หลายๆคนไปลงทุน แต่จริงๆแล้วเป็นแชร์ลูกโซ่ จนทำให้เกิดความเสียหาย แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนจริงหรืออันไหนหลอกลวง ส่วนตัวมองว่าถ้าบริษัทไหนเป็นของจริงจะต้องโปร่งใส มีหลักฐานและตรวจสอบได้

จากตัวอย่างภาพนี้เป็นใบเสร็จรับเงินของบริษัทออมทองแห่งหนึ่ง จะระบุรายละเอียดต่างๆ รวมถึงจำนวนทองคำที่เราสะสมไว้อย่างชัดเจน ส่งกลับมาทางไปรษณีย์ทุกเดือนเพื่อให้เราเก็บไว้เป็นหลักฐาน

 

ยัง ยัง ยังไม่จบ....

 

สำหรับคนที่อยากรู้ว่าซื้อทองคำเดือนละ 1,000 บาทจะได้ทองคำกี่กรัม

ในตัวอย่างนี้เราจะใช้ราคาขายออกทองคำแท่ง 96.5% เป็นใช้ราคาประกาศครั้งสุดท้ายของทุกต้นเดือนมาคำนวณ เราจะเห็นว่าราคาที่ซื้อแต่ละเดือนนั้นแตกต่างกัน ทำให้เราได้รับจำนวนทองที่แตกต่างกัน ถ้าเราซื้อราคาต่ำๆจะได้จำนวนทองมาก(ช่องขวาสุด)  แต่ถ้าเราซื้อทองราคาสูงก็จะได้จำนวนทองน้อยลง

 

1,000 บาท เริ่มต้นออมทอง

บทความนี้เขียน ณ เดือน พ.ย. 59 (ข้อมูลราคาทองย้อนหลัง คลิกที่นี่)

 

ทองคำสำคัญอย่างไร?

 

รักษามูลค่าของเงิน

 

เพิ่มเติมจากย่อหน้าแรกของบทความ เงินที่เราจับจ่ายใช้สอยในปัจจุบันนี้ มันมีมูลค่าเพราะความเชื่อ ถ้าวันหนึ่งความเชื่อมันลดลงหรือหายไป เงินมันก็ไม่ต่างกับเศษกระดาษ แม่สอนเราบ่อยๆว่าให้เก็บทองไว้ใช้ตอนวิกฤต เผื่อเกิดสงครามจะได้หยิบทองไปใช้จ่ายแลกของกินได้ ตอนแรกก็ไม่เชื่อเพราะคิดว่ามันไม่น่าจะเกิดภาพสงครามโลกแบบโหดร้ายแบบอดีตอีก

แต่พอมานั่งคิดดีๆก็มองว่าอะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้ เหตุการณ์ในอดีตมันจบไปแล้ว แต่มันก็ทิ้งบทเรียนหลายๆอย่างให้เราศึกษาจะได้ระมัดระวังตัว แล้วประวัติศาสตร์ย่อมซ้ำรอยเสมอ สงครามอาจจะเกิดในรูปแบบที่เปลี่ยนไป ส่วนตัวมองว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าเราเตรียมตัวให้พร้อมรับทุกสถานการณ์ ถ้าเกิดเหตุร้ายขึ้นจริงเราก็รอดหรือบาดเจ็บน้อยที่สุด แต่ถ้าไม่เกิดเรื่องร้าย ทองคำที่เราเตรียมไว้ก็เป็นหลักประกันความมั่งคั่งได้

อยากให้ดูคลิปหนึ่งเพราะจะทำให้รู้ว่าทำไมทองคำถึงมีความสำคัญ เป็นเหตุการณ์ "ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สกุลเงินดอยช์มาร์กของเยอรมันมีมูลค่าลดลง ในขณะที่ทองคำแสดงถึงความมั่งคั่ง ประเทศเยอรมันกำลังจะล้มละลาย ทำให้ฮิตเลอร์ต้องสะสมทองคำไว้หลายร้อยตัน" ถ้าดูให้จบคลิปจะทำให้เราเข้าใจภาพรวมได้ดี แต่ถ้าไม่มีเวลาให้ดูตั้งแต่นาทีที่ 25 นะจ๊ะ  

ชื่อคลิป : ปริศนาสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอน ทองคำที่หายไปของฮิตเลอร์ คลิกที่นี่

 

-------------------------------------------------------------

หมายเหตุ : ตัวอย่างบริษัทที่เปิดให้บริการออมทอง