หากมีคำถามว่าการลงทุนแบบไหนได้ผลตอบแทนดีๆ บ้าง?

ถ้าจะให้ผมตอบ ก็ต้องไปลงทุนในที่ๆ มันมีความเสี่ยงสิครับ ผลตอบแทนจะได้เพิ่มขึ้นตามความเสี่ยง ยิ่งเสี่ยงสูงยิ่งได้ผลตอบแทนสูงนะเอออ!!

แต่ปัจจุบันทางเลือกของการลงทุนมีเยอะมาก บางครั้งที่ๆ มีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนก็ไม่ได้แย่เสมอไป (แนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่ผ่านการรับรองด้วยนะครับ)

การลงทุนในสินทรัพย์ชนิดเดียวก็มีความเสี่ยงในตัวมันเองเหมือนกัน ผมเคยเขียนเรื่องจัดพอร์ตแบบ Asset Allocation (AA) เป็นไอเดียให้นักลงทุนไปบ้างแล้ว เพราะผมเชื่อว่าทั้งชีวิตของคนหนึ่งคน จะต้องมีการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่หลากหลายอยู่แล้ว

ในการลงทุนจึงจำเป็นจะต้องมองเรื่องของการจัดสรรพอร์ตการลงทุน หยิบสินค้าทางการเงินมาอยู่ในพอร์ตตามสัดส่วนความเสี่ยงที่รับได้ และที่สำคัญต้องได้ผลตอบแทนตามที่ต้องการด้วย!!! ซึ่งเรื่องนี้ไม่ยากถ้าเข้าใจนิสัยด้านการลงทุนของตัวเองดีพอ

นอกจากนี้ยังมีเคล็ดวิชา Rebalancing Portfolio (RP) เพื่อช่วยให้พอร์ตการลงทุนมีความสมดุลในตัวอีกด้วย ซึ่งทั้งสองเรื่องที่พูดถึง ต้องนำมาใช้ร่วมกัน เป็นการผสานเคล็ดวิชา Asset Allocation และ Rebalancing Portfolio ที่เห็นผลลัพธ์ที่ดีบนความไม่มั่นคงในตลาดทุน

เพื่อให้เห็นภาพทั้งหมดชัดขึ้น ในครั้งนี้ ผมมีตัวอย่างพอร์ตโฟลิโอจำลองที่สมมติขึ้นมา โดยแบ่งวิธีการลงทุนเป็น 2 พอร์ต 3 แบบ (ลงทุนเป็นเงิน 100$ ก้อนแรกครั้งเดียวไม่มีการเติมเงินเข้าพอร์ตนะฮะ)

แบบที่ 1 เงินลงทุนทั้งหมด ลงทุนในหุ้น 100%

แบบที่ 2 จัดพอร์ตแบบ Asset Allocation ลงทุนในหุ้น 60% และลงทุนในตราสารหนี้ 40%

แบบที่ 3 จัดพอร์ตแบบ Asset Allocation ลงทุนในหุ้น 60% และลงทุนในตราสารหนี้ 40% + มีการทำ Rebalancing Portfolio ทุกๆ 12 เดือน

สมมติ ตลาดหุ้นมีการเหวี่ยงขึ้นลง 50% ตลอด 5 ปี และหุ้นที่ลงทุนได้รับผลตอบแทนเท่ากับตลาด และผลตอบแทนของตราสารหนี้เป็น 0% ลองมาดูผลลัพธ์ของการลงทุนจำลองนี้กันครับ

จะเห็นได้ว่าการลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงที่สุด แต่ตั้งอยู่บนความเสี่ยงที่สูงที่สุด พอร์ตโฟลิโอที่ไม่กระจายความเสี่ยงจะทำให้เกิดผลเสียได้ ต่างกับพอร์ตการลงทุนแบบ Asset Allocation ที่มีการป้องกันความเสี่ยงจากตลาดหุ้นโดยใช้ตราสารหนี้

จึงทำให้พอร์ตการลงทุนแบบ Asset Allocation มีผลตอบแทนที่ดีกว่าในสภาวะตลาดแบบจำลองนี้ และถ้ามีการใส่วิชา Rebalancing Portfolio เข้าไปล่ะ ผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นยังไง มาดูกัน..

ทุกๆ 12 เดือน จะมีการทำ Rebalancing เสมอ เมื่อไหร่ที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นดี ก็จะตัดผลตอบแทนนั้นมาใส่ในตราสารหนี้ตามสัดส่วนที่กำหนดไว้คือ 60/40 พอร์ตการลงทุนนี้จึงมีความสมดุลได้ผลตอบแทนดีกว่าการไม่ทำ Rebalancing

สรุปว่า ถ้าสภาพตลาดที่เหวี่ยงรุนแรงแบบตลาดจำลองนี้ การทำ Asset Allocation + Rebalancing จะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด ชนะเลิศไปเล้ยยย!!! ซึ่งทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ภายใต้สมมติฐานที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริงในปัจจุบัน

แต่สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อก็คือ การกระจายสินทรัพย์ไปอยู่ในที่ต่างๆ ที่มีอัตราผลตอบแทนและระดับความเสี่ยงที่ต่างกัน จะช่วยให้พอร์ตการลงทุนของนักลงทุนมั่นคงมากขึ้น ทั้งนี้การกระจายความเสี่ยงของพอร์ตต้องเข้าใจในเรื่องของ Diversified Portfolio อีกด้วย (ขอเล่าให้ฟังในครั้งต่อๆ ไปนะฮะ)

สุดท้ายนี้นักลงทุนอยากจะลงทุนแบบไหน ต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคนแล้วล่ะครับ ถ้ามั่นใจว่าตลาดหุ้นยังเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนดี และเชื่อมั่นใน Timing การลงทุน และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของตัวเอง จะลงทุนในหุ้น 100% ก็ไม่ผิดอะไร ดีด้วยซ้ำไป ถ้ารู้ว่าสไตล์การลงทุนที่ชอบคือแบบนี้

แต่สำหรับคนที่ต้องการความมั่นคง ปลอดภัยในสภาพตลาดที่ผันผวน การใช้กลยุทธ์ทั้งสองที่ผลเล่าให้ฟัง ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจและอยากให้ลองพิจารณาดูครับ

หากท่านผู้อ่านสนใจการลงทุนแบบ Asset Allocation ที่บริหารพอร์ตโดยผู้เชี่ยวชาญมีประสบการณ์ในการลงทุนกว่า 10 ปี มีใบอนุญาตในการจัดการกองทุนถูกต้องตามเกณฑ์ของ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ติดต่อมาคุยกันได้ที่หน้าเพจ นายปั้นเงิน ปีศาจแห่งการลงทุน” ได้เลยครับบบบ

ผมยินดีและพร้อมคุยกับทุกคนด้วยความเต็มใจคร้าบบบบ :D

นายปั้นเงิน ปีศาจแห่งการลงทุน