“จีน” พญามังกร รอวันตื่น

 

          กลับมาเจอกันอีกครั้งนะครับ หลังจากที่เราได้ไปเยือนมาในหลายประเทศจากบทความก่อนๆ หน้านี้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าผมยังกล่าวขาดไปอีกหนึ่งประเทศ ซึ่งเป็นประเทศที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของโลกอย่างมาก และยังเป็นประเทศที่ใครๆ ก็ต่างคาดการณ์กันว่าในอนาคตนั้นจะมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก… แน่นอนครับ ผมกำลังหมายถึงประเทศมหาอำนาจของโลก  “จีน” นั่นเองครับ

1

Source: www.tradingeconomics.com

 

          จากข้อมูล ณ สิ้นปี 2558 หากไม่นับรวมกลุ่มประเทศภาคพื้นยุโรป (Euro Area) จีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา  และยังเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกอีกด้วย และอย่างที่เราทราบกันดีว่าเศรษฐกิจของประเทศจีนในช่วงนี้กำลังอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนี้ทางรัฐบาลจีนได้เปิดเผยว่านั่นเป็นความตั้งใจที่ต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตช้าลงไม่หวือหวาเหมือนอย่างในอดีต

 

          เอ๊ะ!!.. อาจจะฟังดูแปลกๆ ถ้าอย่างนั้นเรามาดูรายละเอียดกันต่อเลยดีกว่าครับว่าเหตุใดผมจึงเชื่อว่าจีนเป็นประเทศที่ดีสำหรับการลงทุนในระยะยาว

 

          เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา ประเทศจีนต้องเจอกับปัญหาหลายด้านจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงปัญหาจากภายในประเทศอย่างภาวะฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปัญหาเงินกู้นอกระบบ (Shadow Banking) รวมถึงปัญหาหนี้สินที่เกิดขึ้นในภาครัฐฯ ทำให้รัฐบาลจีนต้องปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อทำการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ซึ่งในปัจจุบันรัฐบาลจีนได้ทำการประกาศใช้นโยบาย "New normal" เพื่อปรับสมดุลทางเศรษฐกิจของประเทศ มุ่งเป้าที่จะเติบโตช้าๆ อย่างมีเสถียรภาพและมั่นคง โดยมีการปรับเปลี่ยนนโยบายที่เคยเน้นการผลิตเพื่อส่งออกมาเป็นเน้น “การบริโภคภายในประเทศ” ให้มากขึ้นซึ่งส่งผลให้จีนมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงอย่างมีนัยสำคัญตามเป้าหมายที่รัฐบาลจีนคาดการณ์ไว้

2 3

          มาถึงตรงนี้แล้วหลายๆ ท่านอาจจะยังไม่หายกังวลจากการลดเป้าหมายทางเศรษฐกิจของจีนใช่มั้ยครับ แต่รู้มั้ยครับว่าในทางกลับกันแล้วนักวิเคราะห์เองกลับมองว่าภาวะการชะลอตัวนี้ ไม่ได้เกิดจากวงจรทางเศรษฐกิจทั่วไป แต่เป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญของประเทศจีนนั่นเอง เพราะจริงๆ แล้วประเทศจีนยังมีโครงการต่างๆ อีกมากมายที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานของรัฐบาลจีนเพื่อตอบสนองกับนโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจดังกล่าว อย่างเช่น มาตรการขยายความเป็นเมือง หรือ Urbanization สู่มณฑลต่างๆ ของประเทศ
          โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างท่าเรือ การขยายลู่ทางโลจิสติกส์ หรือการขยายโครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน การพัฒนาระบบเครือข่ายออนไลน์และระบบซื้อขายสินค้าและบริการผ่านอินเตอร์เน็ต การสนับสนุนการดูแลสุขภาพ การท่องเที่ยวและกีฬา และยังมีนโยบายยกระดับสินค้าอย่าง “Made in China 2025” เพื่อเปลี่ยนการผลิตสินค้า Low Cost สู่การสร้างผลิตภัณฑ์ระดับ Premium ป้อนตลาดโลกภายในปี พ.ศ. 2568 นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังมีการปฏิรูปภาคการคลังท้องถิ่น รวมถึงการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อลดการผูกขาดและเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนอีกด้วย
 

 

          ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่ผมว่ามานี้ ผมมั่นใจว่าจีนกำลังเตรียมความพร้อมก่อนที่จะพุ่งทะยานต่อไปเพื่อเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกในอนาคตนั่นเอง

4

          สิ่งที่ผมคาดการณ์ก็คือเราน่าจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้นจากการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจนี้ในช่วงปี 2560 ครับ สำหรับในด้านของการลงทุนนั้นผมเชื่อมั่นว่าจีนจะยังไปได้อีกไกล ดังนั้น แม้ว่าเราจะเห็นความผันผวนจากการลงทุนในระยะสั้นก็ตามแต่ในระยะยาวแล้วจีนยังมีโอกาสที่ดีมาก ๆ ครับ  

 

เมื่อเราเห็นภาพรวมของเศรษฐกิจจีนกันไปบ้างแล้ว.. คราวนี้เรามารู้จัก “ตลาดหุ้นจีน” กันบ้างนะครับ

5

          เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านคงพอจะรู้จักหุ้นจีนในฐานะหุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจในประเทศจีนกันอยู่แล้ว แต่ก็อาจจะยังสงสัยว่า.. เอ๊ะ!!.. หุ้นจีนทำไมแยกยิบย่อยอะไรขนาดนั้น มีทั้ง A-share, B-share, H-share, Red Chips อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด แค่ชื่อยังจำไม่ได้เลย วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังว่าหุ้นจีนนั้นมีกี่ประเภท? อะไรบ้าง ? แล้วแตกต่างกันยังไง ? มาลองดูกันเลยดีกว่าครับ

 

ประเภทแรก หุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศจีน

          เนื่องจากประเทศจีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่มาก ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกที่ตลาดหลักทรัพย์จะไม่ได้มีเพียงตลาดเดียวครับ สำหรับตลาดที่อยู่ในประเทศจีนจริงๆ นั้น มี 2 ตลาด คือ “ตลาดเซี่ยงไฮ้” กับ “ตลาดเซินเจิ้น” ซึ่งในแต่ละตลาดก็จะมีหุ้นที่เหมือนกันบ้างหรือแตกต่างกันบ้าง ราคาซื้อขายของทั้ง 2 ตลาดก็จะไม่ได้เท่ากันพอดีเป๊ะ โดยทั้ง 2 ตลาดนี้ต่างก็มีหุ้นกลุ่มที่เรียกว่า A-Share และหุ้นกลุ่มที่เรียกว่า B-Share ด้วยกันทั้งคู่ มาถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยแล้วล่ะครับว่าแล้วเจ้า A-share กับ B-share มันต่างกันยังไง ?

  1. หุ้นกลุ่ม A-Share หุ้นกลุ่มนี้จะเป็นหุ้นที่จดทะเบียนซื้อ-ขายในตลาดเซี่ยงไฮ้ หรือเซินเจิ้นก็ได้ โดยทำการซื้อ-ขายด้วยสกุลเงินหยวน ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จะเป็นพี่เม่า น้องเม่า ลุง ป้า อาม่า และแก๊งส์ 4 โมงเย็น เรียกง่ายๆ ว่านักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนที่ชอบซื้อขายแบบเก็งกำไรค่อนข้างเยอะครับ แต่จริงๆ แล้วในกลุ่มนี้ก็ยังมีนักลงทุนต่างประเทศเป็นบางส่วน แต่เฉพาะที่ได้โควต้าเท่านั้นจึงจะสามารถลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ได้ครับ
  2. หุ้นกลุ่ม B-Share หุ้นกลุ่มนี้จะเป็นหุ้นที่จดทะเบียนซื้อ-ขายในตลาดเซี่ยงไฮ้ หรือ เซินเจิ้นก็ได้เหมือนกันครับ แต่หุ้นกลุ่มนี้จะถูกซื