ช่วงชีวิตของคนเราทุกๆคนนั้น ตอนวัยเด็กเป็นวัยพึ่งพิง จะใช้เงินก็ต้องขอจากคุณพ่อคุณแม่ พอเรียนจบก็หางานทำ ประกอบอาชีพเพื่อมีรายได้ ซึ่งรายได้ก็นำมาซึ่งทรัพย์สินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ พอมีครอบครัวก็ต้องมีเงินเลี้ยงดูครอบครัว แล้วก็เก็บเงินเพื่อที่จะเอาไว้ใช้ตามเกษียณ หรือ เก็บเงินเป็นทุนการศึกษาบุตร รวมถึงต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่ชรา เป็นต้น

ซึ่งเรื่องที่มากล่าวข้างต้นนั้น ก็เพื่อเชื่อมโยงให้เห็นถึงความสำคัญของการทำงานเพื่อให้มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว บางคนก็อาจจะมีซื้อสินทรัพย์ต่างๆ เช่น บ้าน รถ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะซื้อผ่อน ก็เลยทำให้บางคนก็ยังมีภาระหนี้สิน อีกด้วย ดังนั้นหากเราจะเปรียบว่า ความสามารถในการหารายได้ของเรา คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คงไม่ผิดนัก

เพราะ ความสามารถในการหารายได้ของเรา นำมาซึ่งทุกๆอย่างของครอบครัว จริงมั้ยครับ

และถ้าจะถามว่า "ถ้าวันนี้ คุณต้องสูญเสียเงิน 90% ของที่คุณมี ไปจริงๆ คุณจะเดือดร้อนมั้ย" เพราะ หากท่านที่ตอบว่าไม่เดือดร้อนได้จริงๆ ก็ต้องยอมรับเลยว่า ท่านมีสถานะการเงินที่ยอดเยี่ยมมากๆเพราะหากเกิดไรกับเราก็ตาม เรามีสถานะการเงิน ที่มากพอกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้

แต่ที่พบส่วนใหญ่เลยจริงๆ ก็จะตอบว่า "คงเดือดร้อนสิ" ถ้าเงินต้องหายไปถึง 90% ของชีวิตจริงๆ

ดังนั้นเหตุการณ์ที่จะทำให้เงินของชีวิตเรา จู่ๆหายไป 90-100% ก็มีสาเหตุหลักๆคือ การเสียชีวิตไปก่อน การพิการทุพพลภาพ และ การเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง เพราะ หากต้องเสียชีวิตไปก่อนหรือพิการ ก็เท่ากับว่ารายได้ที่คาดว่าจะมีในอนาคต ก็จะมลายหายไปด้วย

แล้วถ้าถึงวันนั้น คนข้างหลังจะอยู่อย่างไร หรือ หากต้องเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงล่ะ ก็ต้องรีบหาเงินมารักษา มีเท่าไหร่ก็แทบจะเอาออกมาขายจนหมด เช่น ขายบ้าน ขายรถ มารักษาตัว

แถมสุดท้ายก็อาจจะยังต้องจากไปก็ได้ (เท่ากับสูญเงินเปล่าๆ)

ซึ่งหากเราไม่มีการเตรียมวางแผนการประกันไว้ก่อนอย่างมากพอ ก็น่าจะมีผลต่อครอบครัวในอนาคตแน่นอน เช่น อาจจะต้องทำให้ภรรยาที่เป็นแม่บ้านต้องมาทำงาน หรือ ต้องย้ายโรงเรียนลูกจาก โรงเรียนเอกชน ไปเรียนโรงเรียนรัฐบาล ก็ได้

และถ้าจะถามว่า ถ้าเกิดเงินเราหายไป 10 บาทจาก 100 บาท เราคิดว่าเราเดือดร้อนมากมั้ย ? ซึ่งคำตอบส่วนใหญ่ก็คงตอบว่าคือ "ไม่เดือดร้อนเลย"

ดังนั้นการวางแผนการประกัน คือ "การยอมสูญเสียเงินเพียง 10% ของเรา เพื่อเอาไว้ใช้ปกป้องเงินอีก 90% ที่เหลือ " โดยใช้เงินเพียง 10% ของรายได้เราจ่ายเป็นค่าเบี้ยประกัน เพื่อเป็นการโอนความเสี่ยงให้บริษัทประกันรับผิดชอบแทน

เพราะหากต้องเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดกับเราแล้ว บริษัทประกันก็จะชดเชยค่าความเสียหายให้ตามวงเงินที่ซื้อความคุ้มครองไว้ ซึ่งก็ยังดีกว่าเราต้องจ่ายเงินก้อนโต กับการที่ต้องฟื้นฟูให้ความเสียหายนั้น กลับมาดีเหมือนเดิมให้มากที่สุด

ซึ่งถ้าเราไม่ยอมเสียเงิน 10% นั้นก็เท่ากับว่า "เรายอมรับความเสี่ยงเองทั้งหมด" และ ต้องยอมรับผลที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาให้ได้อีกด้วย เพราะ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น เงินทั้งหมด 100% ก็คงหายไปทั้งหมดด้วย จริงมั้ยครับ

ดังนั้นแผนการเงินที่ปราศจากการทำประกันที่มากพอ (ทั้งเรื่องความคุ้มครองชีวิต ทรัพย์สิน สุขภาพ และโรคร้ายแรง) ก็เท่ากับว่าแผนการเงินนั้นยังมีสิทธิที่จะล้มเหลวได้

สุดท้ายนี้หวังว่าทุกๆท่านจะวางแผนการประกันด้วยไอเดียการจ่ายเงินเพียง 10% เพื่อรักษาเงินส่วนใหญ่ถึง 90% ของเรากันให้ได้นะครับ แล้วคุณจะเป็นคนนึงที่ได้ชื่อว่า มั่งคั่งอย่างยั่งยืนแน่นอนครับ

*** มุ่งให้คนไทยทุกคนมีสุขภาพการเงินดี ***

by สุรกิจ พิทักษ์ภากร
นักวางแผนการเงิน CFP
CEO บริษัท เวลท์แพลนเนอร์ จำกัด
#wealthplanner

ติดตามบทความอื่นๆได้ที่นี่ www.surakit.com