เดี๋ยวนี้ช่องการซื้อประกันชีวิตมีมากมายเริ่มตั้งแต่ซื้อผ่านตัวแทนบ้าง ผ่านธนาคารบ้าง หรือที่เจอแทบทุกวันก็ผ่านทางโทรศัพท์ นอกจากนั้นยังมีซื้อทางออนไลน์ ก็มีเยอะขึ้น

แต่ปัญหาที่จะตามมาคือ คนส่วนใหญ่เมื่อซื้อประกันแล้ว ก็มักจะลืมผลประโยชน์ของกรมธรรม์ที่ตัวเองได้ซื้อไว้ ส่วนใหญ่ถ้าลองถามดูว่าผลประโยชน์ได้อะไรบ้าง ก็จะมีน้อยคนนักที่จะจดจำได้ และถ้าต้องการรู้ก็ต้องไปค้นดูจากกรมธรรม์มาอ่านอีกที

ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นอีกอย่างคือ อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง เพราะ เป็นภาษาทางกฎหมาย เป็นต้น

และที่พบบ่อยมากๆ และอยากให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกๆคน คือ คนส่วนใหญ่มักจะมาตรวจสอบกรมธรรม์ของตนเองและครอบครัวในเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้แล้วทั้งนั้น เช่น เกิดป่วยหนักแบบกะทันหันและต้องรีบไปโรงพยาบาล ก็ถึงจะมาเปิดกรมธรรม์ดูว่ามีสิทธิเบิกอะไรบ้าง แถมถ้าดูไม่รู้เรื่องก็มักจะโทรถามตัวแทนประกันชีวิตในวันที่ต้องเข้าโรงพยาบาล

ซึ่งแน่นอน ว่ามันสายไปเสียแล้วเพราะ หากมีรู้ว่ามีสิทธิเบิกได้น้อยหรือไม่มีเลย ก็คงทำอะไรไม่ทันเสียแล้ว เพราะ“ สินค้าประกันทุกๆชนิด คือ สินค้าที่ซื้อแล้ว ไม่มีใครอยากใช้หรอก แต่พอเมื่อจำเป็นต้องใช้ ก็จะซื้อไม่ทันนั่นเอง”

ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับสินค้าอื่นๆก็เหมือนกับพวก ยางอะไหล่, เครื่องดับเพลิง หรือ ร่ม เป็นต้น เพราะ คงต้องซื้อเตรียมไว้ก่อนเกิดเหตุ เพราะ หากเกิดเหตุแล้ว ก็คงหาซื้อไม่ทัน

ดังนั้นจากนี้ไปอยากให้ท่านที่มีกรมธรรม์แล้วไม่ว่าจะมีกี่ฉบับ ซื้อมาแล้วกี่ปี ถ้าไม่อยากจะต้องเจอกับเรื่องที่ฉุกเฉินในเรื่องของการรักษาพยาบาล ควรต้องรีบนำกรมธรรม์ทุกๆฉบับมาเปิดดูและจัดการสรุปออกมาเป็นเอกสารที่สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ รวมถึงให้รับรู้ถึงวงเงินคุ้มครองในทุกๆส่วนของกรมธรรม์เป็นอย่างดี

ซึ่งหากท่านไม่สามารถอ่านกรมธรรม์ได้อย่างเข้าใจ ก็ควรติดต่อตัวแทนของท่านให้มาอธิบายผลประโยชน์จากกรมธรรม์ให้เข้าใจอีกครั้งหนึ่ง ก็จะอุ่นใจกว่าอย่างแน่นอน

เรามาดูประโยชน์ของการสรุปกรมธรรม์กันนะครับ

1.ทำให้รู้ว่ากรมธรรม์ที่มีอยู่มีวงเงินความคุ้มครองอยู่เท่าไหร่บ้าง และ ใช้สิทธิอย่างไร เช่น มีทุนประกันรวมเท่าไหร่ มีค่าห้องโรงพยาบาลประมาณเท่าไหร่แล้ว แล้วถ้าจะใช้สิทธิเบิกต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งหากเกิดเหตุต้องรักษาพยาบาล ก็สามารถวางแผนการรักษาให้เหมาะกับวงเงินคุ้มครองในกรมธรรม์ได้

2. ทำให้เราทราบ ถึงวันที่ครบกำหนดชำระเบี้ยได้ทุกๆกรมธรรม์ เพื่อให้สามารถวางแผนการจ่ายเบี้ยประกันได้ว่าใน 1 ปี 12 เดือน มียอดจ่ายเดือนไหนบ้าง จะได้วางแผนรายจ่ายได้ดียิ่งขึ้น

3. ทำให้ทราบว่ากรมธรรม์มีเงินคืนในปีไหนบ้าง (เฉพาะกรมธรรม์ประเภทสะสมทรัพย์และที่มีเงินปันผล) เพื่อเอาไว้ตรวจสอบกับทางบริษัทรับประกัน เพราะ หากตกหล่นก็สามารถทำเรื่องของติดตามได้

4. เพื่อให้ทราบว่ากรมธรรม์ที่เรามีอยู่นั้น มีวงเงินคุ้มครองหรือมีเงินครบสัญญาเพียงพอกับที่เราต้องการมั้ย

5. ทำให้สามารถเลือกซื้อประกันเพิ่มเติมได้อย่างที่เหมาะสมกับตนเองมากขึ้นในอนาคต เพราะ เราทราบผลประโยชน์ของกรมธรรม์เดิมอย่างดีแล้ว

6. จะทำให้เราไม่ตกหล่นเรื่องการเบิกเคลมอีกต่อไป เช่น บางทีการป่วยนั้นเราสามารถเบิกชดเชยได้ แต่เมื่อเราไม่เคยทราบผลประโยชน์จากกรมธรรม์ ก็ทำให้เราลืมเบิกได้ ซึ่งเท่ากับว่าเราจ่ายเบี้ยประกันไปฟรี โดยไม่เคยได้ใช้ก็เป็นได้

7. ทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลในกรมธรรม์ให้เหมาะกับความต้องการในปัจจุบันได้ เช่น ชื่อนามสกุลผู้รับประโยชน์ หรือ ที่อยู่ส่งเอกสาร เป็นต้น

จากนี้ไปก็หวังว่าทุกท่านจะลองเอากรมธรรม์ขึ้นมาสรุปเพื่อให้รู้ถึงผลประโยชน์ของกรมธรรม์ตัวเองสัก ที และเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอกับเหตุการณ์ฉุกเฉินเมื่อจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากกรมธรรม์ ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็จะ เป็นวิธีการที่ท่านจะทำให้กรมธรรม์ที่ท่านจ่ายเบี้ยประกันไปทุกๆปี ดูจะมีคุณค่ามากขึ้นอีกด้วย และหาก จะซื้อกรมธรรม์เพิ่มเติมในอนาคตก็จะได้ซื้อได้อย่างถูกต้องและถูกใจอีกด้วย

*** มุ่งให้คนไทยมีสุขภาพการเงินที่ดี ***

By สุรกิจ พิทักษ์ภากร

นักวางแผนการเงิน CFP ‪

#‎wealthplanner‬

www.surakit.com