สวัสดีครับผม!!! อัศวินกองทุนยุค Digital กลับมาแล้วครับ

สัปดาห์นี้บอกเลยว่าฝั่งเอเชียนั้นกลับมากันยกแผงครับ ไทย เกาหลี จีน น่าสนใจกันทั้งนั้นเลย

สรุปประเด็นทุกตลาดสำคัญที่น่าสนใจลงทุน พร้อมกับมุมมองแบบนี้ได้ทุกสัปดาห์ ที่นี่ที่เดียวครับ

Focus ประเทศน่าลงทุนประจำสัปดาห์ที่ 1-5 ตุลาคม 2561

ซื้อหุ้นไทยและเกาหลี สะสมจีนเพิ่ม!

เหตุผล : จากความแน่นอนของการเลือกตั้งในช่วงต้นปีหน้าของไทย โดยการเมืองที่มีเสถียรภาพขึ้นจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจมากขึ้น และนโยบายเศรษฐกิจของเกาหลีที่ส่งผลบวกในตอนนี้ ส่วนสงครามการค้าจีนก็ไม่แรงอย่างที่คาดไว้ ดังนั้นยังเป็นโอกาสรวมของ 3 ประเทศนี้ต่อไปครับ

Focus : ไทย เกาหลี สะสมจีน

ความน่าสนใจ : บรรยากาศโดยรวมและสภาวะเศรษฐกิจส่งผลเชิงบวกต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย

Scan การปรับตัวตลาดหุ้นทั่วโลก

ตอนนี้ผมยังให้น้ำหนักไปที่การซื้อหุ้นไทย จากความแน่นอนของการเลือกตั้งในช่วงต้นปีหน้า โดยการเมืองที่มีเสถียรภาพขึ้นจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและครัวเรือนในการลงทุนและบริโภค และส่งผลเชิงบวกต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น

อีกตลาดหนึ่งที่น่าสนใจคือเกาหลีครับ แนะนำให้ซื้อหุ้นเกาหลีหลังสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนน้อยกว่าคาด ทำให้เกิดผลบวกต่อตลาดหุ้นเอเชีย ขณะที่จีนเริ่มส่งสัญญาณว่าอาจลดภาษีนำเข้าจากประเทศคู่ค้าอื่นๆ เพื่อทดแทนสินค้าจากสหรัฐฯ จึงคาดว่าเกาหลีจะได้ประโยชน์จากการส่งออกไปจีนมากขึ้น

สัปดาห์นี้ยังอยู่ที่ปัจจัยเดิมๆ ครับผม แนวโน้มยังคล้ายกับสัปดาห์ก่อน ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจนะครับ ถ้าหากสถานการณ์ยังคงที่ เราเองก็มีหน้าที่สะสมต่อไปครับ

ข่าวดีของทางฝั่งนี้มีหลายต่อครับ เนื่องจากดัชนีที่มีการปรับตัวขึ้นในตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เห็นได้ชัดเจนนะครับว่า สหรัฐฯ มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากการบริโภคในประเทศและการลงทุนเอกชนอยู่ครับ ประกอบกับนโยบายการลดภาษีนั้น จะส่งผลบวกต่อการขยายตัวเศรษฐกิจต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนต่อไปอีกด้วยครับ และตอนนี้ FED ได้ขึ้นดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ครับ ดูรวมๆ แล้วปีนี้ค่อนข้างสดใสสำหรับใครที่สะสมสหรัฐฯ นะครับผม

สรุปสั้นๆ : ทยอยสะสมต่อครับ

ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงครับสำหรับหุ้นยุโรป อย่างที่ผมได้บอกมาตลอดว่าการสะสมหุ้นยุโรปขนาดเล็กนั้นจะให้ประโยชน์ในระยะยาว จากเหตุผลที่เคยบอกไปแล้วครับว่า ถ้ามีปัญหาจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าแน่ๆ แม้ว่าสหรัฐฯ ขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจากยุโรป ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่ามีความแข็งแกร่งในตัวเองสูงครับ

ประกอบกับ ECB ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ ตอนนี้ผมคิดว่ายุโรปยังไปต่อได้ครับ สะสมไปเรื่อยๆ เมื่อยก็พักครับ

หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงมีเหตุผลเดิมแบบนี้มาเกือบปีแล้ว ผมก็คงต้องบอกว่าก็มันคือความจริงในมุมมองนี้ครับ และถ้าไม่มีอะไรมากระทบมุมมองเดิม หุ้นเล็กของตลาดนี้ก็ยังคงน่าสนใจเหมือนเดิมครับ

สรุปสั้นๆ : สะสมต่อไป แต่ขอให้โฟกัสที่หุ้นเล็กเป็นหลักเหมือนเดิม

ยังแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นญี่ปุ่นจากปัจจัยเดิมครับผม หลังจากที่นายชินโซะ อาเบะ ได้รับเลือกตั้งให้เป็นหัวหน้าพรรครัฐบาลปัจจุบันหรือ LDP ต่อ ทำให้นโยบายเศรษฐกิจมีความต่อเนื่อง ประกอบกับแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยนจะเป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการบริษัทส่งออกญี่ปุ่นให้ดีขึ้นอีกด้วยครับ

สรุปสั้นๆ : สะสมต่อไปครับ

เหมือนเดิมครับผม ปัจจัยบวกยังคงอยู่ครับ สัปดาห์นี้ผมยังแนะนำให้ซื้อหุ้นเกาหลีต่อไป หลังจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเบากว่าที่ตลาดคาดไว้ และรัฐบาลเสนอร่างงบประมาณการใช้จ่ายภาครัฐปี 62 เพิ่มขึ้น 10% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดตั้งแต่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา

ผมมองว่านโยบายดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนเอกชน ส่วน Valuation อยู่ในจุดที่น่าสนใจหลังจากราคาปรับตัวลงมามากในช่วงที่ผ่านมาระยะหนึ่งนั้น สัปดาห์นี้จึงสะสมต่อไปได้เลยครับ

สรุปสั้นๆ : จัดต่อไป สบายใจได้ครับ

ยังชะลอ รอไปก่อน สำหรับใครที่คิดจะลงทุนตลาดหุ้นอินเดียครับ เนื่องจากค่าเงินรูปีที่อ่อนค่าต่อเนื่องกว่า 13% ตั้งแต่ต้นปี อย่างที่บอกไว้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น และอาจกดดันให้ธนาคารกลางอินเดียต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงิน และเป็นความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นเนื่องจาก Valuation ค่อนข้างแพงแล้วด้วยครับ

สรุปสั้นๆ : หยุดพักต่อ รอไปยาวๆ ครับ

อย่างที่บอกไปครับว่า จากความแน่นอนของการเลือกตั้งในช่วงต้นปีหน้า โดยการเมืองที่มีเสถียรภาพขึ้นจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและครัวเรือนในการลงทุนและบริโภค และส่งผลเชิงบวกต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นอีกด้วยครับ

ประกอบกับช่วงนี้เข้าสู่สามเดือนสุดท้ายของปี เม็ดเงิน LTF กำลังจะไหลเข้ามาเพิ่มเติมอีก แบบนี้ผมมองว่าตลาดหุ้นไทยไปต่อได้ดีเลยครับผม

สรุปสั้นๆ : แบบนี้ต้องซื้อแล้วล่ะครับ จัดไป

จัดต่อไป ไม่ต้องกลัว ผมมองว่าตอนนี้สามารถทยอยสะสมหุ้นจีนเนื่องจากตลาดหุ้นปรับตัวลงมามากในระดับนึง สะท้อนข่าวสงครามการค้าไว้มากแล้ว ขณะที่อัตราการขึ้นภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ประกาศไว้ที่ 10% ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 25% จะเป็นปัจจัยหนุนให้นักลงทุนกลับเข้าซื้อหุ้นจีนต่อไปครับ

ถ้าใครกำลังสนใจ ผมว่าตอนนี้เราเริ่มกลับมาทยอยสะสมได้แล้วครับ

สรุปสั้นๆ : กลับมาสะสมครับ

แนะนำการลงทุนประจำสัปดาห์

ตลาดตราสารทุน : ซื้อหุ้นไทย หุ้นเกาหลี ทยอยสะสมหุ้นสหรัฐฯ, หุ้นยุโรป, หุ้นญี่ปุ่น และหุ้นจีน

ตลาดตราสารหนี้ : แนะนำลงทุนตราสารหนี้ High Yield ต่างประเทศ ส่วนตราสารหนี้ไทยแนะนำให้ซื้อตราสารหนี้ไทยระยะสั้น

สินทรัพย์ทางเลือก : ทยอยสะสมน้ำมันและทองคำ

สัดส่วนการลงทุนประจำสัปดาห์ : ระดับความเสี่ยงต่ำ

พอร์ตการลงทุนระยะยาว

  • หุ้นไทย 12%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 44%
  • ตราสารหนี้ไทย 44%

พอร์ตการลงทุนระยะสั้น

  • หุ้นไทย 16%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 42%
  • ตราสารหนี้ไทย 42%

สัดส่วนการลงทุนประจำสัปดาห์ : ระดับความเสี่ยงกลาง

พอร์ตการลงทุนระยะยาว

  • หุ้นต่างประเทศ 24%
  • หุ้นไทย 30%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 20%
  • ตราสารหนี้ไทย 20%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ 6%

พอร์ตการลงทุนระยะสั้น

  • หุ้นต่างประเทศ 26%
  • หุ้นไทย 34%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 17%
  • ตราสารหนี้ไทย 17%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : ทองคำ 3%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : น้ำมัน 3%

สัดส่วนการลงทุนประจำสัปดาห์ : ระดับความเสี่ยงสูง

พอร์ตการลงทุนระยะยาว

  • หุ้นต่างประเทศ 40%
  • หุ้นไทย 42%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 5%
  • ตราสารหนี้ไทย 5%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ 8%

พอร์ตการลงทุนระยะสั้น

  • หุ้นต่างประเทศ 42%
  • หุ้นไทย 46%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 2%
  • ตราสารหนี้ไทย 2%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : ทองคำ 4%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : น้ำมัน 4%

“ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน” ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 27 กันยายน 2561

ทั้งนี้ เอกสารนี้จัดทำโดย นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดสรรสินทรัพย์และกองทุนต่างประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเผยแพร่ทั่วไป

โดยข้อคิดเห็นและบทความในเอกสารฉบับนี้ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ผู้ใช้ข้อมูลนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังด้วยวิจารณญาณของตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยตนเอง