สวัสดีครับผม!!! อัศวินกองทุนยุค Digital กลับมาแล้วครับ
สัปดาห์นี้เน้นที่ 3 ตลาด ไทย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น นี้เป็นหลักครับ เพราะมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และยังน่าสนใจอยู่ครับผม
สรุปประเด็นทุกตลาดสำคัญที่น่าสนใจลงทุน พร้อมกับมุมมองแบบนี้ได้ทุกสัปดาห์ ที่นี่ที่เดียวครับ
Focus ประเทศน่าลงทุนประจำสัปดาห์ที่ 16-19 ตุลาคม 2561
ซื้อสามสัญชาติ ไทย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น
เหตุผล : ความผันผวนของตลาดหุ้นในตอนนี้เป็นโอกาสดีในการเข้าซื้อทั้ง 3 ตลาดที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจ และน่าสนใจ
Focus : ไทย สหรัฐฯ ญีปุ่น
ความน่าสนใจ : ไทยกับสหรัฐฯ มีความผันผวนชั่วคราว แต่ญี่ปุ่นเป็นจังหวะดีที่จะเข้าซื้อในช่วงปรับตัวตอนนี้
Scan การปรับตัวตลาดหุ้นทั่วโลก
ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวผันผวนหลังจากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ขึ้นไปแตะที่ระดับ 3.2% ซึ่งตอนนี้ผมมองว่าเป็นโอกาสในการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนครับ
กลุ่มที่น่าสนใจตอนนี้ คือ หุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และไทย เนื่องจากมองว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง แต่อยากให้ระมัดระวังลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียเหนือ เช่น จีน A-Share เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจมีโอกาสชะลอตัวและค่าเงินที่ผันผวนอยู่ครับ
ภาพรวมการลงทุน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ยังไปได้เรื่อยๆ ครับแม้ว่าสัปดาห์ก่อนจะมีผันผวนบ้าง แต่เนื่องจากดัชนีที่มีการปรับตัวขึ้นในตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เห็นได้ชัดเจนนะครับว่า สหรัฐฯ มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากการบริโภคในประเทศ และการลงทุนเอกชนอยู่ครับ ประกอบกับนโยบายการลดภาษีนั้น จะส่งผลบวกต่อการขยายตัวเศรษฐกิจต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนต่อไปอีกด้วยครับ
ที่สำคัญกว่านั้น ในตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการ ซึ่งคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ จะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด
สรุปสั้นๆ : ทยอยสะสมต่อครับ
ตลาดหุ้นยุโรป
ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงครับสำหรับหุ้นยุโรป อย่างที่ผมได้บอกมาตลอดว่าการสะสมหุ้นยุโรปขนาดเล็กนั้นจะให้ประโยชน์ในระยะยาว จากเหตุผลที่เคยบอกไปแล้วครับว่า ถ้ามีปัญหาจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าแน่ๆ แม้ว่าสหรัฐฯ ขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจากยุโรป ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่ามีความแข็งแกร่งในตัวเองสูงครับ
ประกอบกับ ECB ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ ตอนนี้ผมคิดว่ายุโรปยังไปต่อได้ครับ สะสมไปเรื่อยๆ เมื่อยก็พักครับ
หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงมีเหตุผลเดิมแบบนี้มาเกือบปีแล้ว ผมก็คงต้องบอกว่าก็มันคือความจริงในมุมมองนี้ครับ และถ้าไม่มีอะไรมากระทบมุมมองเดิม หุ้นเล็กของตลาดนี้ก็ยังคงน่าสนใจเหมือนเดิมครับ
สรุปสั้นๆ : สะสมต่อไป แต่ขอให้โฟกัสที่หุ้นเล็กเป็นหลักเหมือนเดิม
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ตอนนี้เป็นจังหวะดีในการซื้อหุ้นญี่ปุ่นครับ หลังจากที่ ‘นายชินโซะ อาเบะ’ ได้รับเลือกตั้งให้เป็นหัวหน้าพรรครัฐบาลปัจจุบันหรือ LDP ต่อ ทำให้นโยบายเศรษฐกิจมีความต่อเนื่อง ประกอบกับแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยนจะเป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการบริษัทส่งออกญี่ปุ่นให้ดีขึ้นอีกด้วยครับ
สรุปสั้นๆ : ซื้อเลยครับ
ตลาดหุ้นเกาหลี
สัปดาห์นี้มองว่ายังจัดได้ต่อ แต่ต้องระวังอยู่ครับ เนื่องจากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI Index) ของประเทศจีนและสหรัฐฯ มีการชะลอตัวลงและได้ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งชี้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มอ่อนแออาจมีผลต่อผลประกอบการของบริษัทที่เป็นผู้ส่งออกในประเทศเกาหลีซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกไปจีนค่อนข้างสูง
สรุปสั้นๆ : ทยอยสะสมไปต่อได้ครับ
ตลาดหุ้นอินเดีย
ผลของค่าเงินรูปีที่อ่อนค่าต่อเนื่องกว่า 13% ตั้งแต่ต้นปี และอัตราเงินเฟ้อในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น และอาจกดดันให้ธนาคารกลางอินเดียต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงินครับ
อีกทางหนึ่ง ฝากคะแนนความนิยมของ ‘นายกรัฐมนตรีโมดี’ ลดลง ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศอินเดียยังคงขยายตัวได้ดี ซึ่งตรงนี้ผมมองว่าเริ่มต้นที่จะกลับมาทยอยสะสมได้แล้วนะครับ
สรุปสั้นๆ : กลับมาทยอยสะสมได้ครับ
ตลาดหุ้นไทย
ตอนนี้ตลาดหุ้นปรับตัวลงมามากในสัปดาห์ก่อน จากความกังวลในภูมิภาคจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งถือว่าตรงนี้เป็นจุดที่ต่ำมากระดับหนึ่งแล้วล่ะครับ
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองภาพรวมพื้นฐานเศรษฐกิจไทย ผมเชื่อว่ายังมีแนวโน้มขยายตัวดี และการเลือกตั้งที่จะมีในต้นปีหน้าช่วยสนับสนุนบรรยากาศในการลงทุนอีกด้วยครับ นอกจากนั้น เม็ดเงิน LTF ที่เริ่มไหลเข้ามาเพิ่มเติมอีกน่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนให้หุ้นไทยน่าสนใจอยู่ครับ
ใครที่ลดพอร์ทในสัปดาห์ก่อน ผมแนะนำว่าสัปดาห์นี้ลองปรับพอร์ทเพิ่มหุ้นไทยเข้าไปได้เหมือนเดิมแล้วครับ
สรุปสั้นๆ : แบบนี้ต้องซื้อแล้วล่ะครับ จัดไป
ตลาดหุ้นจีน
เป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีจังหวะที่ผันผวนครับ ตอนนี้ผมแนะนำให้ชะลอลงทุนหุ้นจีน A-Share หลังจากสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มแย่ลงอีกแล้ว ซึ่งกดดันให้การเติบโตของจีนชะลอลงไปด้วย ถอยออกมาดูระยะห่างกันสักหน่อยดีกว่าครับ งานนี้
สรุปสั้นๆ : ชะลอ A-SHARE ไปก่อนนะครับตอนนี้
แนะนำการลงทุนประจำสัปดาห์
ตลาดตราสารทุน : สะสมหุ้นสหรัฐฯ, หุ้นยุโรป, หุ้นญี่ปุ่น หุ้นไทย หุ้นเกาหลี และหุ้นจีน H-SHARE
ตลาดตราสารหนี้ : แนะนำลงทุนตราสารหนี้ High Yield ต่างประเทศ ส่วนตราสารหนี้ไทยแนะนำให้ซื้อตราสารหนี้ไทยระยะสั้น
สินทรัพย์ทางเลือก : ทยอยสะสมน้ำมันและทองคำ
สัดส่วนการลงทุนประจำสัปดาห์ : ระดับความเสี่ยงต่ำ
พอร์ตการลงทุนระยะยาว
- หุ้นไทย 12%
- ตราสารหนี้ต่างประเทศ 44%
- ตราสารหนี้ไทย 44%
พอร์ตการลงทุนระยะสั้น
- หุ้นไทย 16%
- ตราสารหนี้ต่างประเทศ 42%
- ตราสารหนี้ไทย 42%
สัดส่วนการลงทุนประจำสัปดาห์ : ระดับความเสี่ยงกลาง
พอร์ตการลงทุนระยะยาว
- หุ้นต่างประเทศ 24%
- หุ้นไทย 30%
- ตราสารหนี้ต่างประเทศ 20%
- ตราสารหนี้ไทย 20%
- สินค้าโภคภัณฑ์ 6%
พอร์ตการลงทุนระยะสั้น
- หุ้นต่างประเทศ 26%
- หุ้นไทย 34%
- ตราสารหนี้ต่างประเทศ 17%
- ตราสารหนี้ไทย 17%
- สินค้าโภคภัณฑ์ : ทองคำ 3%
- สินค้าโภคภัณฑ์ : น้ำมัน 3%
สัดส่วนการลงทุนประจำสัปดาห์ : ระดับความเสี่ยงสูง
พอร์ตการลงทุนระยะยาว
- หุ้นต่างประเทศ 40%
- หุ้นไทย 42%
- ตราสารหนี้ต่างประเทศ 5%
- ตราสารหนี้ไทย 5%
- สินค้าโภคภัณฑ์ 8%
พอร์ตการลงทุนระยะสั้น
- หุ้นต่างประเทศ 42%
- หุ้นไทย 46%
- ตราสารหนี้ต่างประเทศ 2%
- ตราสารหนี้ไทย 2%
- สินค้าโภคภัณฑ์ : ทองคำ 4%
- สินค้าโภคภัณฑ์ : น้ำมัน 4%
“ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน” ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 12 ตุลาคม 2561
ทั้งนี้ เอกสารนี้จัดทำโดย นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดสรรสินทรัพย์และกองทุนต่างประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเผยแพร่ทั่วไป
โดยข้อคิดเห็นและบทความในเอกสารฉบับนี้ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ผู้ใช้ข้อมูลนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังด้วยวิจารณญาณของตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยตนเอง