สวัสดีครับผม!!! อัศวินกองทุนยุค Digital กลับมาแล้วครับ

สัปดาห์นี้บอกเลยว่า รบกวนหยุดจีนไว้ก่อน และไปสะสมหุ้นไทยมากหน่อยละกัน เป็นเพราะเหตุผลอะไรนั้น? ไปติดตามกันได้ที่เนื้อหาด้านในเลยครับ

สรุปประเด็นทุกตลาดสำคัญที่น่าสนใจลงทุน พร้อมกับมุมมองแบบนี้ได้ทุกสัปดาห์ ที่นี่ที่เดียวครับ

Focus ประเทศน่าลงทุนประจำสัปดาห์ที่ 10-14 กันยายน 2561

ทยอยสะสมหุ้นสหรัฐฯ หุ้นยุโรป หุ้นญี่ปุ่น หุ้นไทย(เน้น) หุ้นเกาหลี H-SHARE และหุ้นอินเดีย

เหตุผล : เน้นตลาดประเทศพัฒนายังน่าสนใจอยู่ กับตลาดที่มีการบริโภคในประเทศที่แข็งแกร่ง หรือมีโอกาสใหม่ๆ

Focus : ทุกตลาดตามที่ว่ามาแต่ใช้กลยุทธ์ทยอยสะสม และเน้นที่หุ้นไทยเป็นพิเศษ

ความน่าสนใจ : สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทำให้ต้องเลือกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยและมีโอกาสเติบโต รวมถึงประเทศกลุ่มที่มีโอกาสเพิ่มการบริโภคในประเทศเป็นหลัก สำหรับคนที่สนใจหุ้นไทยให้สะสมในสัดส่วนที่มากหน่อย เนื่องจากจากเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี รวมทั้งไทยมีการกู้ยืมเป็นสกุลเงินต่างประเทศในระดับต่ำ ทำให้การแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่มากนักครับ

Scan การปรับตัวตลาดหุ้นทั่วโลก

เรายังคงต้องระมัดระวังการลงทุนในตลาดหุ้นจีนเหมือนเดิมครับ หลังการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และจีนไม่สามารถมีข้อตกลงด้านการค้าที่ดีได้

ทางฝั่งลุงทรัมป์เองเริ่มโจมตีจีนเรื่องการจงใจให้ค่าเงินหยวนอ่อนเพื่อหนุนการส่งออก ซึ่งอาจนำไปสู่การขึ้นกำแพงภาษีรอบใหม่อีกต่อหนึ่ง

โดยมุมมองการลงทุนในตราสารทุนนั้น เน้นลงทุนในตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วจากเศรษฐกิจที่เน้นการบริโภคในประเทศ ทำให้ได้รับผลกระทบน้อยกว่าจากแนวโน้มการค้าโลกชะลอตัว

จากดัชนีที่มีการปรับตัวขึ้นในตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เห็นได้ชัดเจนนะครับว่า สหรัฐฯมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากการบริโภคในประเทศและการลงทุนเอกชนอยู่ครับ ประกอบกับนโยบายการลดภาษีนั้น จะส่งผลบวกต่อการขยายตัวเศรษฐกิจต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนต่อไปอีกด้วยครับ

นอกจากนั้นยังไม่ต้องห่วงด้วยครับ เพราะตลาดได้คาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยไว้มากแล้วอีกต่างหาก

สรุปสั้นๆ : ทยอยสะสมต่ออีกต่อไปครับ

ทางฝั่งยุโรปขอคอนเฟิมเหมือนเดิมนะครับว่า การสะสมหุ้นยุโรปขนาดเล็กนั้นจะให้ประโยชน์ในระยะยาว จากเหตุผลที่เคยบอกไปแล้วครับว่า ถ้ามีปัญหาจะได้รับกระทบน้อยกว่าแน่ๆ แม้ว่าสหรัฐฯ ขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจากยุโรป ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่ามีความแข็งแกร่งในตัวเองสูงครับ

ประกอบกับ ECB ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ ดังนั้นยุโรปยังน่าสนใจอยู่ครับผมหลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงมีเหตุผลเดิมแบบนี้มาเกือบปีแล้ว ผมก็คงต้องบอกว่าก็มันคือความจริงในมุมมองนี้ครับ และถ้าไม่มีอะไรมากระทบมุมมองเดิมหุ้นเล็กก็ยังคงน่าสนใจเหมือนเดิมครับ

สรุปสั้นๆ : สะสมต่อไป แต่ขอให้โฟกัสที่หุ้นเล็กเป็นหลักเหมือนเดิม

สะสมกันต่อไปสำหรับหุ้นญี่ปุ่นครับ เพราะยังอยู่กันที่มุมมองเดิมที่ว่าผลประกอบการบริษัทที่ขยายตัวแข็งแกร่ง และจากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยนซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการบริษัทส่งออกญี่ปุ่นให้เติบโตมากขึ้นครับ

สรุปสั้นๆ : สะสมต่อไปครับ

ยังไปต่อจ้า แนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นเกาหลี หลังจากรัฐบาลเสนอร่างงบประมาณการใช้จ่ายภาครัฐปี 62 เพิ่มขึ้น 10% (เหมือนกับที่สัปดาห์ก่อนว่าไว้)

ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดตั้งแต่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา โดยคาดว่านโยบายดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนเอกชน ขณะที่ลดผลกระทบของการส่งออกที่มีแนวโน้มชะลอตัวในตอนนี้ครับ

สรุปสั้นๆ : จัดต่อไปอย่าได้ถอย

ยังเหมือนเดิมตามสัปดาห์ก่อนครับ แนวโน้มโดยรวมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สะสมต่อไปเรื่อยๆได้เลยครับผมสำหรับหุ้นอินเดีย

สรุปสั้นๆ : สะสมต่อไปครับ

ความผันผวนในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำเอาหลายคนกังวล แต่มุมมองของผมยังแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นไทยจากเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี และคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าไม่มาก แม้ภาคส่งออกอาจชะลอตัวลงบ้าง แต่มีการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐเข้ามาเป็นตัวสนับสนุนอยู่ครับ โดยรวมยังไปต่อได้ ทำใจสบายๆ แล้วสะสมกันต่อได้เลยครับ

สรุปสั้นๆ : ทยอยสะสมกันต่อไปจ้า

ขอสั้นๆ แบบจริงใจครับ แนะนำชะลอการลงทุนหุ้นจีนจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงมากกว่าคาด และผลประกอบการหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ค่อนข้างน่าผิดหวังประกอบกับประเด็นสงครามการค้าสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ ซึ่งยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นจีนอยู่

สรุปสั้นๆ : หยุดเลยก็ดีครับ ดูท่าทีดีกว่า

แนะนำการลงทุนประจำสัปดาห์

ตลาดตราสารทุน :  ทยอยสะสมหุ้นสหรัฐฯ หุ้นยุโรป หุ้นญี่ปุ่น หุ้นไทย และหุ้นอินเดีย และ จีน H-Share

ตลาดตราสารหนี้ : แนะนำลงทุนตราสารหนี้ High Yield สหรัฐฯ ส่วนตราสารหนี้ไทยแนะนำให้ซื้อตราสารหนี้ไทยระยะสั้น

สินทรัพย์ทางเลือก : ทยอยสะสมน้ำมันและทองคำ

สัดส่วนการลงทุนประจำสัปดาห์ : ระดับความเสี่ยงต่ำ

พอร์ตการลงทุนระยะยาว

  • หุ้นไทย 12%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 44%
  • ตราสารหนี้ไทย 44%

พอร์ตการลงทุนระยะสั้น

  • หุ้นไทย 14%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 43%
  • ตราสารหนี้ไทย 43%

สัดส่วนการลงทุนประจำสัปดาห์ : ระดับความเสี่ยงกลาง

พอร์ตการลงทุนระยะยาว

  • หุ้นต่างประเทศ 24%
  • หุ้นไทย 30%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 20%
  • ตราสารหนี้ไทย 20%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ 6%

พอร์ตการลงทุนระยะสั้น

  • หุ้นต่างประเทศ 26%
  • หุ้นไทย 32%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 18%
  • ตราสารหนี้ไทย 18%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : ทองคำ 3%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : น้ำมัน 3%

สัดส่วนการลงทุนประจำสัปดาห์ : ระดับความเสี่ยงสูง

พอร์ตการลงทุนระยะยาว

  • หุ้นต่างประเทศ 40%
  • หุ้นไทย 42%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 5%
  • ตราสารหนี้ไทย 5%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ 8%

พอร์ตการลงทุนระยะสั้น

  • หุ้นต่างประเทศ 42%
  • หุ้นไทย 44%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 3%
  • ตราสารหนี้ไทย 3%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : ทองคำ 4%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : น้ำมัน 4%

“ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน” ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 6 กันยายน 2561

ทั้งนี้ เอกสารนี้จัดทำโดย นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดสรรสินทรัพย์และกองทุนต่างประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเผยแพร่ทั่วไป

โดยข้อคิดเห็นและบทความในเอกสารฉบับนี้ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ผู้ใช้ข้อมูลนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังด้วยวิจารณญาณของตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยตนเอง