หลายวันมานี้ผมได้รับคำถามมากขึ้นกับหุ้นกู้ตัวใหม่ที่กำลังออกมาเพื่อให้นักลงทุนได้จับจอง ได้ลงทุนกัน นั่นก็คือ หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่ออกโดย บริษัท ค่าปลีกอันดับหนึ่งของไทยอย่าง CPALL นั่นเองครับ

ที่หุ้นกู้ตัวนี้ได้รับการกล่าวงถึง และ มีคำถามค่อนข้างมาก นั่นก็เพราะว่าเป็นหุ้นกู้ที่ค่อนข้างจะมีความซับซ้อนพอสมควร และมีข้อกำหนดหลาย ๆ อย่าง ที่นักลงทุนเห็นแล้วอาจจะตกใจกลัว ซึ่งวันนี้ผมจะมาอธิบายให้ฟังว่า หุ้นกู้ตัวนี้เป็นอย่างไร และ ถ้าเราจะลงทุนกับหุ้นกู้ตัวนี้ ควรจะคิดอย่างไร และลงทุนอย่างไรให้มีความสุขตลอดการลงทุนครับ

ก่อนอื่นเรามารู้จัก หุ้นกันเสียก่อนครับ ว่าหุ้นกู้คืออะไร และ เราจะต้องรู้อะไรที่เกี่ยวกับหุ้นกู้บ้าง หุ้นกู้ เป็นชื่อเรียกหนึ่งของตราสารหนี้ครับ งั้นเรามารู้จักตราสารหนี้กันก่อนเลยนะครับ ในผู้อ่านลองนึกภาพนะครับว่า ถ้าผมต้องการเปิดธุรกิจ หรือขยายกิจการ แหล่งเงินทุนนั้นจะหาได้จากที่ไหน ? แน่นอนว่าหลาย ๆ คนคงตอบว่าก็ที่ ธนาคาร ไง

จริง ๆ แล้วการกู้เงินธนาคารก็เป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ดอกเบี้ยค่อนข้างจะแพงทีเดียว ดังนั้น บริษัทต่าง ๆ ที่ดำเนินธุรกิจอยู่ก็อาจจะใช้วิธีการกู้เงินมาจากนักลงทุนโดยตรงแทนครับ ซึ่งแน่นอนว่า นักลงทุนย่อมมีสิทธิ์เป็นเจ้าหนี้ของบริษัทครับ

ดังนั้นเราจึงเรียก ตราสารรับรองความเป็นเจ้าหนี้ที่ออกโดยบริษัท ฯ ที่มาขอกู้ว่า “หุ้นกู้” นั่นเองครับ ในทางกลับกัน ถ้าผู้กู้เป็นรัฐบาลละก็ จะเรียกว่า “พันธบัตรรัฐบาล” ครับ

ชื่อ ตราสารหนี้อายุของตราสารผู้ออก
พันธบัตรรัฐบาลมากกว่า 1 ปีรัฐบาล
ตั๋วเงินคลังน้อยกว่า 1 ปีรัฐบาล
หุ้นกู้มากกว่า 1 ปีเอกชน
ตั๋วเงิน (BE/PN)น้อยกว่า 1 ปีเอกชน

โดยหุ้นกู้ก็จะมีการกำหนด อัตราดอกเบี้ยที่จะจ่ายว่าจะจ่ายให้ปีละกี่ % และ ได้เงินต้นคืนเท่าไหร่ ราคาตอนเริ่มซื้อเท่าไหร่ รวมถึงหุ้นกู้นี้ มี “Rating” อยู่ในเกณฑ์ที่ลงทุนได้หรือไม่ โดยหุ้นกู้ที่อยู่ในเกรด ที่นักลงทุนสามารถลงทุนได้ที่ความเสี่ยงไม่สูงจนเกินไป จะเริ่มต้นที่ “BBB” เป็นต้นไปครับ ถ้าต่ำกว่านั้น นักลงทุนเองก็จะมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระดอกเบี้ย และเงินต้นมากขึ้นครับ

อันดับของ Rating ตั้งแต่ AAA จนถึง D

เมื่อเราทราบแล้วว่า หุ้นกู้คืออะไร คราวนี้เรามาดูกันต่อครับว่า หุ้นกู้ด้อยสิทธิคล้ายทุนคืออะไรกันแน่ มันต่างหรือว่าเหมือนหุ้นกู้ธรรมดาอย่างไร

หุ้นกู้ด้อยสิทธิ ก็คือ หุ้นกู้ที่จะได้รับการชำระหนี้ต่อจากหุ้นกู้ธรรมดา หากบริษัท ฯ มีความจำเป็นที่ต้องปิดกิจการไปครับ จากนั้น ถ้ายังมีสินทรัพย์หรือว่า เงินเหลือ จึงจะจ่ายเงินให้กับ ผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนต่ออีกที แต่ก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับเงินก่อน ผู้ถือหุ้นทั่วไป ส่วนที่มีลักษณะคล้ายทุนก็ตรงที่ว่า สิทธิ์ในการไถ่ถอนของหุ้นกู้ตัวนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อยกเลิกกิจการไป (เราเรียกว่า Hybrid Bond)

โดยหุ้นกู้ที่จะออกมาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ก็คือ เอาเงินที่ได้มาจ่าย หุ้นกู้ตัวเดิม ๆ ที่มีอยู่แล้วครับ ถือว่าเป็นการปรับโครงสร้างต้นทุนด้านดอกเบี้ยของบริษัท ฯ ให้ดีขึ้น และ เพื่อเอามาหมุนเวียนใช้ภายในกิจการต่าง ๆ ของบริษัท ฯ ครับ

แล้วทำไมบริษัทต้องออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิประเภทนี้ออกมาด้วย นั่นก็เพราะว่า บริษัท ฯ ต้องการรักษาสัดส่วนระหว่างทุน และ หนี้สินให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะครับ เพราะตราสารชนิดนี้ จะถือว่า เป็นส่วนของทุนของบริษัทได้ทั้งหมดตลอดอายุหุ้นกู้นั่นเองครับ

คราวนี้เรามาดู รายละเอียดกันดีกว่าครับ ว่าหุ้นกู้ตัวนี้ มีการจ่ายดอกเบี้ยอย่างไร

ส่วนดอกเบี้ยนั้นจะมีการจ่ายทุก ๆ 6 เดือน โดยใน

5 ปีแรกจะจ่ายแบบอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง 1.87% + ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.13% รวมกันเป็น 5% 

ส่วนปีที่ 5-10 ก็จะมีการจ่ายดังนี้คือ จ่ายด้วยอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี + ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น(3.13%) + อัตราเพิ่ม 0.50% ครับ

ส่วนในปีที่ 10-50 ก็จะมีอัตราส่วนเพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.00%

และในปีที่ 51 เป็นต้นไป ก็จะมีอัตราเพิ่มเป็น 2.00%

ประมาณว่ายิ่งถือยาวก็ยิ่งได้ดอกเบี้ยที่สูงมากขึ้นไปด้วย

ประเด็นสำคัญคือ ผู้ออกหุ้นเองก็มีสิทธิ์ในการเลื่อนจ่ายดอกเบี้ยได้ครับ แต่ก็จะต้องสะสมไว้เอามาจ่ายให้กับนักลงทุนในครั้งถัดไป ตัวอย่างเช่นถ้าหากคิดตามระยะเวลา 5 ปีแรก โดยที่สะสมมาจ่ายให้กับนักลงทุนในปีที่ 5 เลย ผลตอบแทนจะประมาณ 4.56% ต่อปี (ลดลงนิดหน่อย ตามหลักมูลค่าเงินตามเวลาครับ)

แต่จุดที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าบริษัท ฯ ไม่จ่ายดอกเบี้ยให้ละก็ บริษัท ฯ เองก็ห้ามจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นนั่นเองครับ บริษัท ฯ คงจะไม่ยอมให้เกิดผลกระทบแบบนั้นครับ

หุ้นกู้ตัวนี้ บริษัท ฯ ผู้ออกสามารถที่ไถ่ถอนได้ในปีที่ 5 และ ทุกงวดของดอกเบี้ยที่จะจ่ายหลังจากปีที่ 5 เป็นตันไป นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดอีกประการในเรื่องการไถ่ถอนดังนี้ครับ

ดังนั้น “หุ้นกู้” แบบนี้ น่าจะเหมาะกับคนอยากลงทุนเพื่อไม่ให้มูลค่าเงินลดลงไปตามเงินเฟ้อครับ เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ถือว่าใช้ได้ อยู่ที่ประมาณ 4.56 - 5.00% ต่อปี ขึ้นกับระยะเวลาการลงทุน และแนวโน้มการจ่ายดอกเบี้ยของทางบริษัท ฯ

นอกจากนี้ ผมคิดว่าคนจะลงทุนกับหุ้นกู้แบบนี้ ต้องเป็นคนที่สามารถลงทุนได้ในระยะยาว ๆ และต้องการดอกเบี้ยออกมาใช้ หรือ ต้องการกระแสเงินสดที่ค่อนข้างจะสม่ำเสมอในภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำแบบนี้ หรื