สวัสดีครับ ผมหมอนัท คลินิกกองทุน เองครับ ช่วงเดือนสุดท้ายแบบนี้ มีใครที่ยังไม่ได้เลือกกองทุน LTF กันอยู่บ้างไหมครับ หากยังไม่ได้เริ่มต้นลงทุนกับกองทุน LTF แล้วละก็ ผมอยากให้ลองอ่านบทความนี้ดู เผื่อว่าจะได้มุมมองต่อการลงทุนในกองทุนเพิ่มเติม และตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้นนะครับ เพราะผมเชื่อว่า การที่นักลงทุนได้ข้อมูลที่ครบถ้วนก่อนลงทุนจะทำให้เราลงทุนได้อย่างถูกใจ และสบายใจมากขึ้นครับ

ในการลงทุนกับกองทุน LTF นั้น คนส่วนใหญ่มักจะชอบซื้อกองทุนกันในช่วงปลายปีแบบนี้ ซึ่งข้อเสียในการลงทุนในช่วงนี้ก็คือ มีโอกาสที่นักลงทุนจะได้ราคาหน่วยลงทุนที่สูงครับ ซึ่งจากสถิติจะพบว่า ย้อนหลังไป 15 ปี มีโอกาสเพียงแค่ 4 ปี เท่านั้นที่การซื้อกองทุนปลายปีแบบนี้จะได้ราคาหน่วยลงทุนที่ถูกกว่าการทยอยซื้อทุกเดือนครับ และการซื้อกองทุนปลายปีแล้วได้ราคาหน่วยลงทุนที่สูงๆ แบบนี้ แน่นอนว่านักลงทุนเองจะมีโอกาสที่จะขาดทุนมากกว่าได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวครับ

แต่ประเด็นสำคัญอีกอย่างที่ไม่แพ้เรื่องของวิธีการซื้อกองทุน LTF ในช่วงปลายปีก็คือ แนวทางการลงทุนที่แตกต่างกันของกองทุนที่มีอยู่ในตลาดกองทุนรวมบ้านเราครับ

เนื่องจากว่ามีกองทุนใหม่ๆ ออกมามากมายครับ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหุ้นเล็ก กองทุนหุ้นใหญ่ กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ กองทุนที่เน้นการลงทุนในหุ้นไม่กี่ตัว ฯลฯ ซึ่งนักลงทุนเองก็จะชอบกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ๆ ใช่ไหมละครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กองทุนหุ้นเล็ก” ที่มีโอกาสเติบโตได้มาก และก็มักจะลืม “กองทุนหุ้นใหญ่” ที่ต้องบอกว่า “มีเสน่ห์” ไม่แพ้กองทุนหุ้นเล็กเลยทีเดียวครับ

ทั้งนี้ก็เพราะว่ากองทุนที่ไปถือหุ้นบริษัทฯ ใหญ่ๆ ที่มี Market Cap. สูงๆ นั้น มีความเสี่ยงในเรื่องของความผันผวนน้อยกว่าหุ้นของบริษัท ฯ ขนาดเล็ก- ขนาดกลางนั่นเองครับ ถึงแม้ว่าอัตราการเติบโตของหุ้นเล็กในระยะยาวจะดูดีกว่ากองทุนหุ้นใหญ่ก็ตามครับ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทขนาดเล็ก ขนาดกลางนั้น หากยอดขายจะเพิ่มจาก 50 ล้าน ไป 100 ล้าน อาจจะไม่ยากเย็นเท่ากับ บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นผู้นำอันดับต้น ๆ มียอดขาย 1 แสนล้าน แล้วจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 แสนล้าน พูดง่ายๆ ว่าจะทำยอดขายได้แบบนี้ ต้องไปลงทุนในต่างประเทศที่เหมือนกับประเทศไทยอีก นอกจากนี้ต้องครองตลาดให้ได้อีกด้วยครับ

แต่ในทางกลับกันบริษัทขนาดเล็ก ขนาดกลางนั้น ก็มีความเสี่ยงด้านธุรกิจที่จะมีคู่แข่งใหม่ๆ เข้ามา หรือว่าการบริหารของบริษัทฯ ที่ยังต้องปรับเปลี่ยนอะไรมากมาย หากไม่สามารถปรับเปลี่ยน หรือเติบโตได้ทัน อาจจะทำให้เราเห็นกำไรของบริษัทเหล่านี้ลดลงไปได้อย่างมากเลยทีเดียวครับ

 ซึ่งการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่นั้น จริง ๆ แล้วมีข้อได้เปรียบอีกประการครับ นั่นก็คือ เป็นหุ้นกลุ่มแรกที่จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนต่างประเทศ หรือว่านักลงทุนสถาบันอื่นๆ ในต่างประเทศครับ

เราจะสังเกตได้ว่า หากช่วงไหนที่มีการไหลเข้าของเม็ดเงินมาลงทุนในภูมิภาคนี้ หุ้นใหญ่ๆ ในบ้านเราจะวิ่งขึ้นมาก่อน จากนั้นหากแนวโน้มการลงทุนยังคงดี หุ้นขนาดเล็ก ขนาดกลางก็จะค่อยๆ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นตามมาภายหลังครับ

และในปัจจุบันเอง ต่างชาติก็ยังคงถือครองหุ้นไทยในสัดส่วนที่ไม่ได้สูงมากเหมือนเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้วครับ ดังนั้นหากประเทศเรามีปัจจัยบวกส่งเสริมความเชื่อมั่นให้นักลงทุนในต่างประเทศได้แล้วละก็ อาจจะได้เห็น Fund Flow จากต่างชาติไหลเข้าสู่หุ้นขนาดใหญ่ของบ้านเราก็เป็นไปได้ครับ

ข้อดีอีกประการ ของหุ้นขนาดใหญ่ก็คือ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นบริษัทที่เป็นผู้นำของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น ๆ ครับ จึงทำให้มีความแข็งแกร่งของบริษัท และบางบริษัทเองก็มีการบุกเบิกไปต่างประเทศอีกด้วยครับ ซึ่งบริษัทในกลุ่ม SET50 หรือว่าหุ้นขนาดใหญ่ 50 ตัวแรกของตลาดหุ้นบ้านเรานั้น มีหุ้นประมาณ 30 กว่าตัว หรือเกินครึ่งที่สามารถออกไปขยายตลาดให้กว้างขึ้นในต่างประเทศได้ครับ

ดังนั้น ในวันนี้ ผมจะพานักลงทุนทุกท่าน มาพบกับกองทุนที่มีแนวคิดการลงทุนที่น่าสนใจ และเป็นกองทุนที่ถือหุ้นใหญ่อีกด้วยครับ

นั้นก็คือ กองทุน “T-BigCapLTF”(ความเสี่ยงอยู่ในระดับ 6) นั่นเองครับ 

โดยแนวทางการลงทุนของกองทุนนี้จะเน้นการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ ลงทุนในหุ้นเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่ต่ำกว่า 80% ปัจจุบันเน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่ม SET50 ที่มีสภาพคล่องสูง และเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศครับ

แน่นอนว่าจะเป็นหุ้นกลุ่มที่จะมีการเติบโตของธุรกิจไปตามภาวะเศรษฐกิจของไทย ซึ่งบริษัทเหล่านี้ยังคงมีแนวโน้มที่ดีต่อในปี 2561 จากภาคการส่งออกรวมถึง การบริโภคอุปโภคที่ควรปรับดีขึ้นและยิ่งไปกว่านั้น หากรัฐบาลมีความชัดเจนในการเลือกตั้งมากขึ้น เงินลงทุนจากต่างชาติเองก็มีแนวโน้มที่จะไหลเข้ามาลงทุนในบ้านเรามากขึ้นด้วยครับ

เรามาดูที่ผลตอบแทนกันครับ กองทุนนี้ทำผลตอบแทนได้ค่อนข้างดีครับ จะเห็นได้ว่ากองทุนสามารถเอาชนะดัชนีของตลาดหุ้นไทยได้เกือบทุกปีเลยครับ มีเพียงแค่ช่วงระยะเวลาผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีเท่านั้นที่ตามหลังดัชนีมาตราฐานหรือว่า SET TR อยู่ประมาณ 0.06% ครับ ซึ่งถือว่าแทบจะเรียกได้ว่าเสมอกันกับ SET TR เลยครับ

คำเตือน: ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต

คราวนี้เรามาดูกันครับว่า หลังจากทีมงานของผู้จัดการกองทุนได้เลือกหุ้นขนาดใหญ่ ที่ผ่านกระบวนการคัดเลือกการลงทุนแล้วกองทุนนั้นได้ลงทุนกับหุ้นอะไรกันบ้างครับ  

ข้อมูลจาก Fact Sheet เดือนตุลาคม 2560

จะเห็นได้ว่าหุ้นส่วนใหญ่พวกเราจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว

ถ้าเรามาดูกันที่พอร์ตของกองทุนนี้จะมีการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่เราค่อนข้างคุ้นเคยกันครับ แน่นอนว่าเป็นเจ้าตลาดของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมครับ และดูเหมือนว่ากองทุนนี้เองน่าจะเน้นไปในกลุ่มของธนาคาร พลังงาน ท่องเที่ยว และกลุ่มสื่อสาร เป็นหลักไม่ว่าจะเป็น PTT , KBANK , AOT 

สรุปได้ว่า กองทุนเน้นการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ และที่มีการเติบโตไปได้พร้อม ๆ กันกับตลาดหุ้นไทย และถ้าผู้จัดการคาดการณ์ได้ถูกต้อง ในปีหน้าถ้าหุ้นกลุ่มนี้ยังสามารถเติบโตได้ หรือกลับขึ้นมาดีได้มากขึ้น ผมว่าอาจจะเห็นผลตอบแทนปรับตัวดีขึ้นไปได้อีกครับ

คราวนี้เรามาดูกันที่ สไตล์การลงทุน + การปรับพอร์ตกันครับ โดยในส่วนของการปรับพอร์ตนั้น ผมถือว่ามีการปรับพอร์ตที่กลาง ๆ คือ ไม่ได้ปรับอย่างรวดเร็วมาก โดยอัตราการหมุนเวียนสินทรัพย์อยู่ที่ประมาณ 150-300% ครับ (Portfolio Turnover Ratio ของกองทุนนี้ตามรายงานประจำ 6 เดือน อยู่ที่ประมาณ :1.55)

ซึ่งกองทุนนี้ไม่ได้เป็นสไตล์ Buy and Hold ที่มีอัตราการหมุนเวียนสินทรัพย์ต่ำ ๆ ที่มักจะอยู่ที่ประมาณ 20-100% คงต้องบอกว่าเป็นกองทุนที่เน้นการซื้อขายเพื่อทำกำไรครับ ซึ่งผมว่าก็เป็นการปรับพอร์ตที่ไม่ช้าเกินไป ไม่เร็วเกินไป เป็นไปตามภาวะของตลาดหุ้นไทยนั่นเองครับ

ดังนั้น ถ้านักลงทุนเห็นว่าการลงทุนระยะยาวเพื่อให้เงินลงทุนมีโอกาสเติบโตไปตามเศรษฐกิจของไทย รับความผันผวนของตลาดหุ้นได้ กองทุนนี้อาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ และยิ่งเป็นกองทุนที่อยู่ในรูปแบบของ LTF ที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย ถือว่าเป็นการลงทุนที่ได้ 2 ต่อเลยละครับ ทำให้กองทุนนี้น่าจะเหมาะกับนักลงทุนที่ลงทุนได้ในระยะยาวครับ

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ นักลงทุนทุกท่าน น่าจะพอเห็นภาพว่ากองทุนนี้มีแนวทางการลงทุนอย่างไรกันแล้วนะครับ

สุดท้ายนี้ ผมอยากให้นักลงทุนได้เลือกกองทุนที่เหมาะสมกับตนเองนะครับ เพราะว่าการลงทุนในกองทุน LTF นั้นมีระยะเวลาค่อนข้างนานประมาณ 7 ปีปฏิทินครับ หากเราเลือกกองทุนที่เหมาะกับตนเองแล้ว อาจจะทำให้เราไม่สบายใจ ซึ่งการลงทุนที่ดีคือ การลงทุนที่เมื่อเราลงทุนไปแล้ว สามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจครับ

ไม่ใช่ว่าแค่ได้ผลประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีไปแล้ว เราก็จะสบายใจได้เลยทันที เพราะว่าหากเราไม่เลือกกองทุนที่ดีให้กับตนเอง ผลตอบแทนที่ได้อาจจะไม่คุ้มกับการที่เราเสียเวลารอคอยไปถึง 7 ปีครับ ซึ่งผมเชื่อว่าหากเราลงทุนแล้วสบายใจ กองทุนหุ้นใหญ่เองก็จะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนเลยละครับ ลองศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมกันดูนะครับ วันนี้ผมต้องลาไปก่อน สวัสดีครับ ^_^

บทความนี้เป็น Advertorial