ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตต่าง ๆ มากมาย แต่ละวิกฤตก็มีต้นกำเนิด สาเหตุและวิธีการรับมือแตกต่างกันไป ซึ่งการเรียนรู้เรื่องราวอดีต ช่วยให้เราสามารถเตรียมความพร้อมรับมือได้ วันนี้ aomMONEY จึงอยากพาเพื่อน ๆ ย้อนไปดูวิกฤตน่าสนใจ ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย จะมีวิกฤตไหน รับมือเช่นไร และส่งผลอะไรต่อเศรษฐกิจไทยบ้าง ไปดูกัน

วิกฤตราชาเงินทุน

วิกฤตนี้นับเป็นครั้งแรกของตลาดหุ้นไทย ที่ตอนนั้นพึ่งก่อตั้งได้เพียง 2 ปีเท่านั้น ยังขาดกฎเกณฑ์ในการควบคุมที่ชัดเจนและครอบคลุม โดยจุดเริ่มต้นคือ บริษัทราชาเงินทุน ประกอบธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ให้กู้ เข้า IPO ในตลาดหุ้นในปี 2520 โดยมีราคาอยู่ที่ 275 บาทต่อหุ้น แต่ทะยานไปแตะที่ 2,475 บาทต่อหุ้นภายในปีเดียว โดยสาเหตุที่ราคาหุ้นขึ้นสูงขนาดนั้นมี 2 ปัจจัยได้แก่

1. ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวขาขึ้นเพราะกระแสการลงทุนในสังคมไทยกำลังบูม นักลงทุนต่างเข้าถือหุ้นโดยเฉพาะกลุ่มไฟแนนซ์

2. การปั่นหุ้นของบริษัทราชาเงินทุนเอง ที่มีการปล่อยกู้ให้ซื้อหุ้นของบริษัทราชาเงินทุนโดยไม่สนใจคุณภาพของผู้กู้ และต่อมาก็มีการตั้งบริษัทลูกขึ้นมาซื้อหุ้นตัวเองโดยเฉพาะด้วย

จากการดำเนินการที่ไร้ประสิทธิภาพ ทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่อง จนทำให้นักลงทุนพากันเทขายหุ้น ต่อมารัฐบาลเข้าควบคุมและกระทรวงการคลังก็เพิกถอนใบอนุญาตในเดือนสิงหาคม 2522 ทำให้บริษัทราชาเงินทุนต้องปิดกิจการไป ส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก นักลงทุนต่างพากันเทขายหุ้นทุกตัวในมือเพราะขาดความเชื่อมั่น จนทำให้ดัชนีลดลงกว่า 50% (จาก 200 จุดลงมาที่ราว 100จุด) กลายเป็นวิกฤตการณ์ตลาดหุ้นครั้งแรกของไทย

การรับมือเหตุการณ์นี้ หลายฝ่ายต่างเข้ามาช่วยเพื่อพยุงตลาด เช่น ตลาดหลักทรัพย์ลดอัตราส่วนวางเงินกรณีกู้ยืมในการซื้อหลักทรัพย์ (ระบบมาร์จิน (MARGIN)) เพื่อกระตุ้นตลาด, รัฐบาลอัดฉีดเงินเข้าระบบประคองสถานการณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทยยื่นมือช่วยบริษัทต่าง ๆ ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ

เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์หลายอย่าง เช่น

- มีการประกาศใช้ พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2522 เพื่อกำหนดขอบเขตธุรกิจแต่ละประเภท
- มีแนวคิดจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝาก
- จัดตั้งกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน
- ต่อมามีการเริ่ม “โครงการ 4 เมษายน 2527” เพื่อรวมบริษัทเงินทุนที่มีปัญหามาอยู่ในความดูแลของทางการ

วิกฤตสงครามอ่าวเปอร์เซีย

สงครามครั้งนี้เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างอิรักและคูเวต โดย ‘ซัดดัม ฮุดเซน’ ผู้นำอิรักออกมากล่าวหาว่าคูเวตแอบขโมยน้ำมันของอิรักมาขายจำนวนมาก จึงพยายามเจรจาให้คูเวตแบ่งดินแดนเพื่อเป็นชดใช้ แต่คูเวตก็ไม่ยอม อิรักจึงใช้กำลังคนกว่า 100,000 นาย บุกเข้าคูเวตในวันที่ 2 สิงหาคม 2533 เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามอ่าวเปอร์เซีย ทำให้ราคาน้ำมันมีราคาพุ่งขึ้นไปแตะ 140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

กระทบเศรษฐกิจทั่วโลก สหประชาชาติต้องออกมาตรการคว่ำบาตรมากมาย สุดท้ายสหรัฐอเมริกาและอีก 28 ประเทศก็ร่วมกันใช้ยุทธวิธีทางทหารเข้าจัดการอิรักในช่วงมกราคม 2534 กระทั่ง 27 กุมภาพันธ์ 2534 กองกำลังผสมก็สามารถประกาศอิสรภาพให้คูเวตได้

ผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรงคือราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นและตลาดหุ้นร่วงอย่างรวดเร็ว ทั้งที่พึ่งทำสถิติใหม่โดยขึ้นไปแตะ 1,129 จุด ในวันที่ 2 สิงหาคม 2533 แต่สงครามอ่าวเปอร์เซียทำให้การลงทุนของไทยลดลงมาต่ำสุดอยู่ที่ 544 จุด ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2533 และต้องใช้เวลากว่า 3 ปี เพื่อทำให้ดัชนีกลับไปแตะที่ 1,129 จุด อีกครั้งในวันที่ 12 ตุลาคม 2536

วิกฤตต้มยำกุ้ง

วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้มีต้นตอจากประเทศไทย โดยปัจจัยของวิกฤตครั้งนี้มีหลายอย่าง เช่น

- การเติบโตแบบก้าวกระโดดมาตลอดระยะเวลา 10 ปีก่อนวิกฤต ทำให้อสังหาริมทรัพย์ราคาสูง ทั้งบ้าน ที่ดิน คอนโดฯ ประชาชนกล้าทุ่มลงทุนในธุรกิจนี้

- ธนาคารพาณิชย์กู้เงินจากต่างประเทศมาปล่อยกู้ต่อภายในประเทศ ซึ่งตอนนั้นดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ที่ราว ๆ 5% แต่ในไทยดอกเบี้ยอยู่ที่ 14-16% จึงเป็นช่องทางทำเงินให้สถาบันการเงิน

- ตลาดหุ้น ดัชนีพุ่งสูงขึ้นเป็นสถิติไปแตะระดับ 1,789 จุด ในต้นปี 2537 นักลงทุนใช้วิธีการลงทุนด้วยเงินกู้เพราะเชื่อว่าได้กำไรแน่ ๆ

- รัฐบาลตรึงราคาเงินบาทไว้ที่ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากแนวคิดที่ว่า เมื่อเศรษฐกิจดี นักลงทุนเก็บเงินบาท ทำให้แข็งค่าและราคาสินค้าของไทยจะสูง ซึ่งจะกระทบการส่งออก

จะเห็นได้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจดีมาก แต่ความจริงคือ เงินที่หมุนเวียนในระบบเป็นเงินกู้ที่สถาบันการเงินกู้เข้ามา ส่วนการส่งออกก็ขาดทุนสะสมต่อเนื่อง เมื่อเงินจากธุรกิจไม่มี ความสามารถในการชำระหนี้ก็ลดลง จนกระทั่งปี 2539 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว ขายไม่ได้ แต่การกู้เงินสร้างอสังหาริมทรัพย์ยังมีปริมาณสูง

นักลงทุนต่างชาติเริ่มมองเห็นความบิดเบี้ยวพากันเทขายเงินบาททำให้ค่าเงินอ่อนลง ธนาคารแห่งประเทศไทยพยายามตรึงค่าเงินด้วยการกว้านซื้อเงินบาท ทำให้เงินสำรองของประเทศจาก 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเหลือ 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กระทั่งตรึงราคาต่อไปไม่ไหว

ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เมื่อรัฐบาลออกมาประกาศให้ค่าเงินบาทลอยตัว ทำให้ธุรกิจที่กู้เงินจากต่างประเทศจะเป็นหนี้ 2 เท่าทันที ค่าเงินพุ่งขึ้นไปสูงสุดอยู่ระดับ 56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สถาบันการเงินล้มระเนระนาดจากปัญหาหนี้สิน นักลงทุนสิ้นเนื้อประดาตัว จากนั้นก็ลุกลามกลายเป็นวิกฤตการณ์ระดับโลก

ผลกระทบต่อประเทศไทย

- ตลาดหุ้นร่วงหนัก จากจุดสูงสุด 1,789 จุด ในปี 2537 ลงมาอยู่ที่ 204 จุด ในวันที่ 4 กันยายน 2541 หายไปกว่า 88% ในระยะเวลา 4 ปี กว่าจะกลับมาอยู่ที่ 1,700 ได้ ก็เดือนมกราคม 2561 ใช้เวลา 24 ปี

- การขยายตัวของเศรษฐกิจปี 2540-2542 ติดลบ -2.6

- เงินเฟ้ออยู่ที่ 6-8 % ส่งผลให้ต้นทุนประกอบการสูง กิจการล้ม อัตราการว่างงานสูงโดยการแก้ไขปัญหาในครั้งนั้น รัฐบาลต้องกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กว่า 72,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และใช้เงินจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน (FIDF) เพื่อพยุงเศรษฐกิจกว่า 1,138,000 ล้านบาท

วิกฤตซับไพรม์ (Sub-prime Crisis)

วิกฤตนี้เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ส่งผลต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยไม่น้อย เพราะวิกฤตครั้งนี้ส่งผลต่อการส่งออกสินค้าของไทยไปสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก โดยสาเหตุหลักของวิกฤตซับไพรม์คือ เกิดฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์โดยมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2540 ที่ราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นจากการที่นโยบายและกฎหมายหลายอย่างเอื้อให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agencies) ให้สะท้อนกับความเสี่ยง รวมทั้งบริหารจัดการสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (Sub-Prime Mortgage) ผิดพลาด

และฟองสบู่ก็เริ่มแตกในปี 2549 ยาวมาจนกระทั่งปี 2552 กระทบความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ และมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันลดลง สร้างความปั่นป่วนกับสภาพคล่องทางการเงินจนบริษัทใหญ่หลายบริษัทในสหรัฐอเมริกาต้องล้มละลายปิดกิจการ กลายเป็นเศรษฐกิจถดถอยลุกลามไปทั่วโลก

ประเทศไทยได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจผ่าน 3 ช่องทางได้แก่

1. ภาคการเงิน ส่งผลต่อสภาพคล่องทางการเงินเพียงเล็กน้อย

2. การส่งออก โดยส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกอันดับต้น ๆ ของสินค้าไทย

3. ตลาดทุน เกิดปรับตัวลดลงของดัชนี โดยตลาดหุ้นไทยทำจุดสูงสุดในช่วงที่เกิดวิกฤตคือ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 อยู่ที่ 927 จุด แต่เพียง 1 ปี ก็ดิ่งลงมาเหลือเพียง 380 จุด ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2551 และใช้เวลากว่า 2 ปี ถึงจะกลับไปแตะ 900 จุด ในช่วงเดือนกันยายน 2553

วิกฤตโควิด-19 (COVID-19)

โควิด-19 มีจุดเริ่มต้นเมื่อเดือนธันวาคม 2562 ที่อู่ฮั่นประเทศจีน ก่อนลุกลามไปทั่วโลก ถือว่าเป็นวิกฤตที่ส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลกในหลายมิติ ทั้งการใช้ชีวิต การศึกษา การเดินทาง รวมถึงเศรษฐกิจด้วย โดยวิธีการที่ทั่วโลกใช้คือการล็อกดาวน์ (Lockdown) ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต่างต้องหยุดชะงัก

สำหรับประเทศไทย การล็อกดาวน์เข้มข้น ทำให้การท่องเที่ยวหยุดชะงัก มีบริษัทที่ขาดสภาพคล่องมากกว่า 192,046 บริษัท ธุรกิจร้านอาหาร สายการบิน โรงแรมต่างปิดตัวไปเพราะไม่สามารถดำเนินการได้ ทำให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มฟื้นตัวช้าเพราะอิงกับรายได้จากการท่องเที่ยว, อัตราเงินเฟ้อสูง สินค้าราคาแพง ต้นทุนเพิ่มขึ้น

ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยในวิกฤตนี้โดยนับจากเดือนธันวาคม 2562 ที่เริ่มพบผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 1,589 จุด ร่วงมาอยู่ที่ 969 จุดในวันที่ 13 มีนาคม 2563 แต่อย่างไรก็ดี จากการช่วยกันแก้ปัญหาจากหลายภาคส่วนจนสามารถควบคุมได้ ตลาดหุ้นไทยก็มีแรงซื้อกลับเข้ามา และแม้จะมีการแพร่ระบาดระลอกที่ 2-3 แต่ก็ไม่ได้ลดความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากนัก ก่อนจะกลับมาแตะระดับ 1,600 จุด เมื่อเดือนมีนาคม 2564

จะเห็นได้ว่าทั้งประเทศไทยและทั่วโลก ต่างเผชิญปัญหาจากวิกฤตต่าง ๆ ไม่มากก็น้อย ซึ่งการเรียนรู้จากอดีตจะสามารถช่วยให้สามารถรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้น aomMONEY มองว่าสิ่งสำคัญที่สุดเมื่อเกิดวิกฤตคือการถือเงินสด มีเงินสำรองฉุกเฉิน วิเคราะห์ค่าใช้จ่าย มีการทำประกันความเสี่ยงตามสถานการณ์ มองหาช่องทางหารายได้ หากมีการลงทุนก็ควรปรับแผนที่เหมาะ ติดตามข่าวสาร และเตรียมสภาพร่างกายและจิตใจให้พร้อมอยู่เสมอ

เขียนและเรียบเรียงโดย อติพงษ์ ศรนารา