ปัญหาเรื่องหนี้สิน เป็นปัญหาที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะ “หนี้สิน” ที่เกิดจากการค้ำประกันให้ผู้อื่น แต่เราต้องมาแบกรับภาระชำระหนี้นั้นแทน
สำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่เข้าใจว่าการค้ำประกัน คือ อะไร?
aomMONEY ขออธิบายง่ายๆ ครับ เวลาคนๆ นึงจะซื้อบ้านหรือรถยนต์ หรือทำสัญญาการกู้เงินต่างๆ แต่คุณสมบัติของผู้กู้ยังไม่ผ่านเกณฑ์ที่จะได้รับอนุมัติ ตรงนี้การมี “ผู้ค้ำประกัน” เข้ามา ก็จะช่วยทำให้ผู้ปล่อยสินเชื่อมั่นใจไดัว่า หากผู้กู้ผิดชำระ ผู้ค้ำประกันนี่แหละครับ ที่จะต้องชำระหนี้แทน
และด้วยเหตุนี้แหละครับ aomMONEY อยากจะชวนเพื่อนๆ คิดทบทวนให้ดีกันก่อนที่จะตัดสินในค้ำประกันให้ใคร
ทำไมล่ะ? เหตุผลง่ายๆ ตามนี้ครับ
1. เพราะถ้าเขากู้ไม่ผ่าน จนต้องวิ่งหาคนค้ำ นั่นสะท้อนว่า “เขาเองยังไม่มีความพร้อมพอที่จะกู้เงินก้อนนี้หรือเปล่า?”
ดังนั้น เราควรเช็กให้ดี ถึงวินัยและความสามารถในการชำระหนี้ของคนที่เราจะค้ำประกันให้ และควรเช็กตัวเองด้วยว่า รับความเสี่ยงจากการค้ำประกันครั้งนี้ได้ไหม เพราะถ้าผู้กู้ผิดชำระหนี้ ทางธนาคารเค้าก็จะมาตามหนี้กับเรานี่แหละครับ
2. มีความเห็นใจอย่างมีขอบเขต
ความเห็นอกเห็นใจและการมีน้ำใจ เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ควรมีขอบเขตด้วย ถ้าพิจารณาแล้วว่าการค้ำประกันครั้งนี้จะสร้างปัญหาให้ตัวเองในอนาคต การเลือกปฏิเสธ อาจจะเป็นวิธีที่เซฟตัวเองที่สุดครับ
3. เรื่องเงินเป็นเรื่องที่ทำให้คนเสียมิตรภาพกันมากที่สุด
น่าจะเห็นตัวอย่างเรื่องนี้กันจากหน้าข่าวในทุกๆ ปีนะครับ อย่างที่เคยเป็นข่าวดัง ก็เช่น ลูกศิษย์ที่กู้เงิน กยศ. ไปเรียนหนังสือ ขอให้อาจารย์เป็นผู้ค้ำประกันหนี้ให้ อาจารย์เห็นว่าเป็นศิษย์ก็ช่วยเหลือ พอถึงเวลา ตัวเองกลับปล่อยให้ผู้มีพระคุณต้องมาชดใช้หนี้ที่เขาไม่ได้ก่อ ส่วนตัวเองก็หายไปเลย
ใดๆ ก็ตาม “การค้ำประกัน” ในสถานการณ์บางอย่าง ก็มีความจำเป็น ดังนั้น สำหรับที่เป็นลูกหนี้ จึงควรรักษาสัจจะ มีวินัยด้านการเงิน อย่าให้ผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองในวันนี้ ต้องมาเดือดร้อนเพราะตัวเองในวันข้างหน้า
โดยปัจจุบัน แม้จะมีกฎหมายรองรับให้ผู้ค้ำประกัน สามารถจำกัดวงเงินและระยะเวลาได้ โดยกำหนดให้รับผิดชอบในส่วนของตัวเองเท่านั้น ไม่ต้องรับผิดชอบดอกเบี้ย รวมถึงยื่นฟ้องผู้กู้ตามจำนวนและดอกเบี้ยที่ชำระไปแทนได้ด้วย
ทว่าการค้ำประกันให้ใครสักคน ก็ยังเป็นสิ่งที่ควรคิดให้ดีก่อน
เพราะหนี้ก้อนใหญ่ เกิดขึ้นได้แค่เพียงปลายปากกาที่เซ็นลงไปเท่านั้นเองครับ